tag:blogger.com,1999:blog-2249789530285372332024-03-15T08:34:05.967-07:00กฎหมายน่ารู้รวมกฏหมายง่ายๆสไตล์ชาวบ้านBTC Admin http://www.blogger.com/profile/17552179607270050206noreply@blogger.comBlogger25125tag:blogger.com,1999:blog-224978953028537233.post-32557077749898689822024-03-15T07:54:00.000-07:002024-03-15T07:57:41.024-07:00คดีแพ่งคืออะไร ทำไมตำรวจไม่รับแจ้งความ<p> </p><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhqQ3s2jBkdBAbhC6NEhNmc8MoACpCmZl3HEhSMs4bE9KlagRt9xqWoocNtM3m4-AF3fSzNS9c8me8yokvubTJEu9suDHfOkYKB8m4Yo1iV2hzDPs2NiGZHrcOMBYE9q2Cn0YWMviCo9TJpHsE_wLZVGfql4OOkOvJrNhRKMN-KV-rDi0-ZjlLcuX1uU86h/s480/pang.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="360" data-original-width="480" height="240" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhqQ3s2jBkdBAbhC6NEhNmc8MoACpCmZl3HEhSMs4bE9KlagRt9xqWoocNtM3m4-AF3fSzNS9c8me8yokvubTJEu9suDHfOkYKB8m4Yo1iV2hzDPs2NiGZHrcOMBYE9q2Cn0YWMviCo9TJpHsE_wLZVGfql4OOkOvJrNhRKMN-KV-rDi0-ZjlLcuX1uU86h/s320/pang.jpg" width="320" /></a></div><br /><p></p><p>ต้องการใช้สิทธิเรียกร้องทางกฎหมาย แต่พอไปแจ้งความตำรวจบอกว่าเป็นคดีแพ่ง ดำเนินคดีให้ไม่ได้ แล้วคดีแพ่งคืออะไรกันละ ?</p><p><br /></p><p>คดีแพ่ง เป็นคดีที่เกี่ยวกับเรื่องส่วนตัวของคน 2 ฝ่าย ที่ผิดสัญญากันหรือต้องการโต้แย้งสิทธิ หน้าที่กัน หรือเป็นคดีที่มีการร้องขอต่อศาลให้ศาลรับรองสิทธิบางอย่างให้</p><p><br /></p><p>เราจึงมักได้ยินคำว่า อย่างมากก็แค่จ่ายเงินจะกลัวอะไรกับคดีแพ่ง แพ้คดีก็แค่จ่ายเงินไม่ได้ติดคุกซะหน่อย! จากปากลูกหนี้ เพราะการรับผิดทางแพ่งไม่มีโทษปรับ จำคุก กักขัง ริบทรัพย์สิน ประหารชีวิตเหมือนคดีอาญา แต่ในความเป็นจริงการถูกฟ้องร้องจะทำให้เสียมากกว่าเงิน เช่น เวลา โอกาสต่าง ๆ อีก มากมาย ยิ่งถูกฟ้องแล้วต้องรับสภาพหนี้ก้อนโตจากดอกเบี้ยและค่าปรับด้วยแล้ว ก็อาจทำให้ชีวิตลำบากไม่ต่างกับการติดคุกเลยก็ได้ และการละเมิดคนอื่นจนได้รับความเสียหายก็ไม่ใช่สิ่งที่ควรทำ</p><p><br /></p><p>คดีแพ่ง</p><p>มีกี่ประเภท</p><p>คดีแพ่งมีทั้งคดีที่ขอให้อีกฝ่ายชดใช้เงิน คืนของ จ่ายค่าเสียหายต่าง ๆ หรือต้องการให้ทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เราจะเรียกคดีแบบนี้ว่า คดีมีข้อพิพาท และสำหรับคดีที่ไม่มีคู่ความเราจะเรียกว่า คดีไม่มีข้อพิพาท</p><p><br /></p><p>1. คดีมีข้อพิพาท จะมีคู่ความฝ่ายหนึ่งคือ “โจทก์” เป็นฝ่ายที่ยื่นคำฟ้อง อีกฝ่ายคือ “จำเลย” เป็นฝ่ายที่ถูกฟ้อง </p><p><br /></p><p>คดีมีข้อพิพาทจะฟ้องได้ต่อเมื่อมีการทำให้เกิดความเสียหาย หรือกระทบกับสิทธิที่เราจะต้องได้รับตามกฎหมาย หรือเรียกง่าย ๆ ว่าฟ้องเพื่อเรียกร้องสิทธิที่มีตามกฎหมายของตัวเอง ฟ้องเพื่อให้อีกฝ่ายหนึ่งทำตามหน้าที่ตัวเอง ต่างฝ่ายต่างมีสิทธิ์ในการโต้แย้ง สืบหาความจริง เพื่อให้ศาลตัดสินว่าต้องชดใช้ให้กันมากน้อยแค่ไหน ต้องชดใช้ยังไงบ้างตามกฎหมายแพ่ง เช่น</p><p><br /></p><p></p><ul style="text-align: left;"><li>ฟ้องให้จ่ายหนี้</li><li>ฟ้องผิดสัญญาซื้อขาย</li><li>ฟ้องเรียกค่าเสียหายเลิกจ้างไม่เป็นธรรม</li><li>ฟ้องเรียกค่าปรับคืน</li><li>ฟ้องเรียกค่านายหน้า</li></ul><p></p><p>2. คดีไม่มีข้อพิพาท เป็นคดีที่จะต้องร้องขอให้ตัวเองมีสิทธิอย่างใดอย่างหนึ่งจากศาล</p><p><br /></p><p>เพื่อให้มีการรับรองสิทธิที่ว่าตามกฎหมาย จะได้มีอำนาจในการทำสิ่งต่าง ๆ ได้ คดีแบบนี้ไม่มีคู่ความ แต่ถ้ามีคนยื่นขอคัดค้านภายในวันนัดใต่สวน ก็จะกลายเป็นคดีมีข้อพิพาทได้เหมือนกัน เช่น</p><p><br /></p><p></p><ul style="text-align: left;"><li>ขอเป็นผู้จัดการมรดก</li><li>ขอเป็นผู้ปกครองผู้เยาว์</li><li>ขอทำนิติกรรมแทนผู้เยาว์</li><li>ขอให้ศาลสั่งให้เป็นบุคคลไร้ความสามารถ เสมือนไร้ความสามารถ หรือสาบสูญ</li><li>ขอแสดงสิทธิ์ในที่ดินโดยการครอบครองปรปักษ์</li><li>ขอสิทธิการเลี้ยงดูบุตร</li></ul><p></p><p><br /></p><p>คดีแพ่ง</p><p>แจ้งความให้ตำรวจดำเนินคดีไม่ได้</p><p>คดีเล็ก ๆ แค่นี้ทำไมตำรวจช่วยไม่ได้ แล้วจะมีตำรวจไว้ทำไมเปลืองภาษีเปล่า ๆ เวลามีเรื่องเดือดเนื้อร้อนใจหรือได้รับความเสียหาย ใคร ๆ ก็มักบอกว่าไปแจ้งความเลย จับเข้าคุกเลย และที่พึ่งที่เข้าถึงง่ายที่สุดคือตำรวจ หลายคนจึงตรงดิ่งไปโรงพักอย่างรวดเร็ว</p><p><br /></p><p>แต่พอได้คุยกับเจ้าหน้าที่สอบสวนไปสักพัก กลับได้ยินคำว่านี่เป็นคดีแพ่งนะ ต้องไปฟ้องศาลเอาเอง ทำให้เกิดอาการหน้าชาขึ้นมาทันที แล้วฉันมาทำอะไรอยู่ที่นี่ เสียเวลามาทำไม โมโหก็โมโห ยังต้องมาหงุดหงิดที่ตำรวจไม่รับดำเนินคดีให้อีก แต่ใจเย็น ๆ ก่อน เพราะเรา…</p><p><br /></p><p></p><ul style="text-align: left;"><li>แจ้งความให้ตำรวจดำเนินคดีทางแพ่งไม่ได้ </li><li>ตำรวจมีหน้าที่รับผิดชอบคดีอาญา </li><li>หรือคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องคดีอาญาเท่านั้น </li></ul><p></p><p>แปลว่าถ้าอยากจะเรียกร้องค่าเสียหายด้วยการแจ้งความกับตำรวจ ความผิดนั้นต้องเกิดจากการทำผิดทางอาญาเท่านั้น ถ้าไม่ใช่ความผิดที่มีโทษทางอาญาตำรวจรับดำเนินคดีให้ไม่ได้</p>BTC Admin http://www.blogger.com/profile/17552179607270050206noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-224978953028537233.post-46609594821152073752024-03-15T07:45:00.000-07:002024-03-15T07:45:24.004-07:00ประเภทของคดีอาญา <p> </p><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh4e_xu9HXUvy5ssjp-wUHlNVnibGiOm-jC99Xg8r3peIb3YgTpufOmEbOpROZB5EeF6rZHUQCEkYRtNUcQhrnq8ChNcLt8EiXmbfWaJ_LPk250wr3ljNCbbD1j6XkCR95rqaBW2_xLXNk8Coxb2slrn_ObXXFYETuiaOYJ1plLT5MssJbjKT4pu1fUrbHm/s640/26845568163_fc95bec462_z.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="480" data-original-width="640" height="240" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh4e_xu9HXUvy5ssjp-wUHlNVnibGiOm-jC99Xg8r3peIb3YgTpufOmEbOpROZB5EeF6rZHUQCEkYRtNUcQhrnq8ChNcLt8EiXmbfWaJ_LPk250wr3ljNCbbD1j6XkCR95rqaBW2_xLXNk8Coxb2slrn_ObXXFYETuiaOYJ1plLT5MssJbjKT4pu1fUrbHm/s320/26845568163_fc95bec462_z.jpg" width="320" /></a></div><br />การแบ่งประเภทคดีอาญานั้นพิจารณาจากอำนาจในการดำเนินคดีอาญา ซึ่งพิจารณาจากผู้เสียหายเป็นสำคัญ โดยสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทดังนี้ <p></p><p><br /></p><p>1) คดีอาญาความผิดอันยอมความได้ </p><p>ความผิดอันยอมความได้ หรือความผิดต่อส่วนตัว หมายถึงคดีอาญาประเภทซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายต่อเอกชนคนหนึ่งคนใดเป็นส่วนตัว มิได้ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐหรือสังคมเป็นและความผิดใดจะเป็นความผิด อาญาอันยอมความได้นั้น กฎหมายจะต้องระบุไว้ชัดเจนว่าเป็นความผิดอันยอมความได้ เช่น ความผิดฐานยักยอก ฉ้อโกง หมิ่นประมาท ทำให้เสียทรัพย์ อนาจาร ข่มขืนกระทำชำเรา ออกเช็คโดยเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงิน เป็นต้น </p><p>ความผิดอาญาอันยอมความได้นี้เจ้าพนักงานของรัฐจะดำเนินคดีได้ก็ต่อเมื่อผู้ เสียหายร้องทุกข์ (แจ้งความ) ต่อเจ้าพนักงานตามกฎหมายเสียก่อน และต้องร้องทุกข์ภายในกำหนด 3 เดือน นับแต่วันที่รู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำผิด สำหรับคดีความผิดอันยอมความได้นี้ หากผู้เสียหายไม่ประสงค์จะดำเนินคดีกับผู้ต้องหาต่อไป ก็สามารถถอนคำร้องทุกข์ ถอนฟ้อง หรือยอมความได้ ซึ่งก็จะเป็นผลให้คดีดังกล่าวระงับไป </p><p>2) คดีอาญาความผิดอาญาอันยอมความไม่ได้ </p><p>ความผิดอาญาอันยอมความไม่ได้ หรือความผิดอาญาแผ่นดิน หมายถึงคดีอาญาประเภทที่นอกจากจะทำให้เกิดความ เสียหายแก่ผู้เสียหายโดยตรงแล้ว ยังก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐและสังคมโดยส่วนรวมอีกด้วย ความผิดอาญานอกจากที่กฎหมายระบุไว้ชัดเจนว่าเป็นความผิดอันยอมความ ได้แล้ว จะเป็นความผิดอาญาแผ่นดินทั้งสิ้น เช่น ความผิดฐานลักทรัพย์ วิ่งราวทรัพย์ ชิงทรัพย์ ปล้นทรัพย์ ทำร้ายร่างกาย ฆ่าคนอื่น วางเพลิงเผาทรัพย์ ขับรถประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย เป็นต้น ซึ่งความผิดอาญาแผ่นดินนี้ แม้ผู้เสียหายไม่ติดใจดำเนินคดีกับผู้กระทำผิด ก็ไม่ทำให้คดีอาญานั้นระงับไป รัฐสามารถดำเนินกับคดีกับผู้กระทำผิดต่อไปได้ โดยที่ผู้เสียหายไม่จำเป็นต้องร้องทุกข์ก่อนแต่อย่างใด และความผิดอันยอมความไม่ได้นี้กฎหมายไม่ได้เปิดช่องให้มีการไกล่เกลี่ยหรือยอมความกันได้เลย </p><p><br /></p><p>คดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา </p><p>คดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา หมายถึง “คดีแพ่งที่ฟ้องบังคับตามสิทธิเรียกร้องอันมีมูลฐานความรับผิดเนื่องมาจากการกระทำความผิดทางอาญา” ซึ่งหมายความว่าการกระทำความผิดอาญาฐานใดฐานหนึ่งแก่ผู้เสียหาย เป็นเหตุให้เกิดความเสียหายผู้เสียหายจึงมีสิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจากการกระทำความผิดนั้น เช่น นายแดงขับรถชนนายดำ จนนายดำได้รับบาดเจ็บสาหัส ในคดีอาญานายแดงย่อมมีความผิดฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับบาดเจ็บสาหัส ส่วนในทางแพ่งการที่แดงขับรถชนดำด้วยความประมาทเป็นการละเมิดจำต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น จะเห็นได้ว่าสิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนนั้นมีมูลมาจากการที่นายแดงกระทำความผิดต่อนายดำนั้นเอง </p>BTC Admin http://www.blogger.com/profile/17552179607270050206noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-224978953028537233.post-78261980338997462012018-09-02T18:11:00.000-07:002018-09-02T18:11:15.794-07:00การแจ้งความ กับ การลงบันทึกประจำวัน ต่างกันอย่างไร <div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://4.bp.blogspot.com/-tIBlqDkIuYU/W4yJ9n9RWjI/AAAAAAABwv0/HDjygSTW2iMSnR2UhJOx9m3kCp8AH9YdQCLcBGAs/s1600/1396244582-592d7907b1-o.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="600" data-original-width="610" height="314" src="https://4.bp.blogspot.com/-tIBlqDkIuYU/W4yJ9n9RWjI/AAAAAAABwv0/HDjygSTW2iMSnR2UhJOx9m3kCp8AH9YdQCLcBGAs/s320/1396244582-592d7907b1-o.jpg" width="320" /></a></div>
<br />
คำว่า"แจ้งความ" นี่เป็นภาษาพูด ทางกฎหมายจะใช้คำว่า "ยื่นคำร้องทุกข์" กับ "ยื่นคำกล่าวโทษ"<br />
<br />
"คำร้องทุกข์" ผู้ยื่นต้องเป็นผู้เสียหาย โดยกล่าวหาต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ที่มีอำนาจ ว่ามีผู้กระทำความผิดขึ้น ไม่ว่าจะรู้ตัวผู้กระทำความผิดหรือไม่ก็ตาม ซึ่งกระทำให้เกิดความเสียหายแก่ผู้เสียหาย และการกล่าวหาเช่นนั้นได้กล่าวโดยมีเจตนาจะให้ผู้กระทำความผิดได้รับโทษ<br />
<a name='more'></a><br />
<br />
ส่วน "คำกล่าวโทษ" ผู้ยื่นจะเป็นใครก็ได้ที่ไม่ใช่ผู้เสียหาย กล่าวหาต่อเจ้าหน้าที่ที่มีอำนาจ ว่ามีบุคคล ไม่ว่ารู้ตัวหรือไม่ก็ดี ได้กระทำความผิดขึ้น<br />
<br />
ผู้เสียหายแจ้งความร้องทุกข์ต่อตำรวจ<br />
<br />
การร้องทุกข์ คือ การที่ผู้เสียหายได้กล่าวหาต่อเจ้าหน้าที่ว่ามีผู้กระทำความผิดเกิดขึ้น จะรู้ตัวผู้กระทำผิดหรือไม่ก็ได้ ซึ่งการกระทำให้เกิดความเสียหายแก่ผู้เสียหาย และการกล่าวหาเช่นนั้น ได้กล่าวโดยมีเจตนาจะให้ผู้กระทำผิดได้รับโทษ<br />
<br />
เพราะฉะนั้น การร้องทุกข์ต้องมีลักษณะดังนี้<br />
<br />
๑. มีผู้กระทำผิดเกิดขึ้น<br />
<br />
๒. จะรู้ตัวผู้กระทำผิดหรือไม่ก็ได้<br />
<br />
๓. ทำให้ผู้เสียหายได้รับความเสียหาย<br />
<br />
๔. มีการกล่าวหาต่อเจ้าหน้าที่<br />
<br />
๕. กล่าวหาโดยมีเจตนาจะให้ผู้กระทำผิดได้รับโทษ<br />
<br />
<br />
สถานที่แจ้งความร้องทุกข์<br />
<br />
ท่านจะต้องแจ้งความต่อตำรวจ ณ โรงพักที่ใกล้ที่สุด ให้ร้อยเวรบันทึกไว้ในสมุดประจำวันเป็นหลักฐาน<br />
<br />
รายละเอียดที่แจ้งความ<br />
<br />
ให้ท่านระบุวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุให้ถูกต้อง อย่าให้ผิดพลาดเป็นอันขาด เพราะหากแจ้งวันเวลาผิด เช่น กลางวันเป็นกลางคืน วันที่หนึ่งเป็นวันที่สอง หรือสถานที่เกิดเหตุผิดตำบล ผิดอำเภอไป เหล่านี้ถ้าอัยการฟ้องวันเวลาสถานที่เกิดเหตุผิดไปทำให้ศาล ยกฟ้องได้<br />
<br />
ให้แจ้งพฤติการณ์ รายละเอียดที่เกิดขึ้นให้ละเอียด เล่าเรื่องเรียงให้ดี อย่าสับสน เช่น คนร้ายทั้งหมดกี่คน มีอาวุธ แต่งตัวอย่างไร เหตุใดจึงจำเป็นคนร้ายได้ อาศัยแสงสว่างอะไร เป็นต้น<br />
<br />
พยานหลักฐานที่จะมอบให้ตำรวจ<br />
<br />
นอกจากจะได้มอบพยานเอกสารต่าง ๆ ให้กับตำรวจแล้ว หากมีวัตถุพยานอื่น ๆ เกี่ยวกับการกระทำผิด ไม่ว่าจะเป็น ฝ่ายคนร้ายหรือฝ่ายของเรา เราจะต้องเก็บรักษาไว้ให้ดี อย่าเคลื่อนย้าย เพื่อให้ตำรวจตรวจสอบเสียก่อน และหากมีพยานบุคคล ที่รู้เห็นหรือเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ก็ระบุให้ตำรวจทราบอย่างละเอียด หรือถ้าสามารถนำบุคคลที่เป็นพยานมาสถานีตำรวจ ให้ตำรวจสอบไว้เป็นพยานก็จะเป็นการดีอย่างยิ่งทั้งฝ่ายตำรวจและฝ่ายเรา<br />
<br />
ข้อสังเกตก่อนลงชื่อแจ้งความ<br />
<br />
หลังจากแจ้งความแล้ว ก่อนจะลงชื่อแจ้งความ เราต้องอ่านข้อความที่ตำรวจจดด้วยความระมัดระวัง ว่าตำรวจ จดถูกต้องตามที่เราแจ้งความไว้หรือไม่ ถ้าไม่ถูกอย่าลงชื่อเป็นอันขาด ต้องให้ตำรวจแก้ไขก่อน จึงจะลงชื่อ เพราะบางทีตำรวจ จดผิดไปคำเดียว เช่นคำว่า “จำคนร้ายได้” เป็น “จำคนร้ายไม่ได้” เป็นต้น<br />
<br />
ผู้กล่าวโทษ<br />
<br />
การกล่าวโทษ หมายถึง บุคคลอื่นซึ่งมิใช่ผู้เสียหาย ได้กล่าวหาต่อเจ้าหน้าที่ว่ามีบุคคลรู้ตัวหรือไม่ก็ดี ได้กระทำผิดอย่างหนึ่งอย่างใด<br />
<br />
ผู้เสียหาย ไปกล่าวโทษต่อเจ้าพนักงานเรียกวา “การกล่าวโทษ”<br />
<div>
<br /></div>
<br />
ดังนั้นถ้ามิได้มีใครกระทำความผิดอาญา การยื่นคำร้องทุกข์ หรือ ยื่นคำกล่าวโทษ ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ก็ไม่มีผลใดๆทางกฎหมายครับ เพราะไม่ครบองค์ประกอบ แจ้งไปตำรวจก็ไม่มีหน้าที่ต้องดำเนินการอะไร พนง.สอบสวนอาจหยิบสมุดอะไรก็ไม่รู้มาเล่มหนึ่ง แล้วทำจดๆให้คุณสบายใจก็แค่นั้น<br />
<br />
<b>ก่อนไปแจ้งความต้องทำอะไรบ้าง</b><br />
<br />
คำแนะนำในการไปติดต่อสถานีตำรวจ<br />
เพื่อความสะดวกรวดเร็วและถูกต้องตามกฎหมายและระเบียบของทางราชการ<br />
เมื่อท่านไปติดต่อที่สถานีตำรวจ ท่านควรเตรียมเอกสารต่างๆ ที่จำเป็นติดตัวไปด้วยคือ<br />
<br />
1. บัตรประจำตัวประชาชน หรือ ใบแทนฯ หรือ<br />
2. บัตรประจำตัวข้าราชการ หรือ<br />
3. ใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว หรือ<br />
4. หนังสือเดินทาง (PASSPORT) สำหรับชาวต่างประเทศที่เดินทางเข้ามาภายในประเทศ<br />
5. สำเนาทะเบียนบ้าน<br />
6. ในกรณีที่ท่านจะไปร้องทุกข์ (แจ้งความ) โดยเป็นตัวแทนของผู้อื่นให้นำ หลักฐานต่างๆ ดังนี้ติดตัวไปด้วย<br />
<br />
6.1 ใบสำคัญแสดงการเป็นผู้แทนโดยชอบธรรมของผู้เยาว์<br />
6.2 ใบสำคัญแสดงการเป็นผู้อนุบาลของผู้ไร้ความสามารถ (ตามคำสั่งศาล)<br />
6.3 ในกรณีที่ผู้เสียหายถูกทำร้ายถึงตายหรือบาดเจ็บจนไม่สามารถจัดการเองได้<br />
ให้ท่านนำหลักฐานซึ่งแสดงว่าท่านเป็นบุพการีหรือผู้สืบสันดานหรือสามีภรรยา (ซึ่งได้จดทะเบียนบ้าน, สูติบัตร,ใบทะเบียนสมรส ฯลฯ) มาแสดงต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ<br />
6.4 ใบสำคัญแสดงการอนุญาตของสามีและภรรยาแล้วแต่กรณี ให้ร้องทุกข์แทนหรือเป็นตัวแทนโดยสมบูรณ์<br />
6.5 ในกรณีที่เป็นผู้แทนของนิติบุคคลให้นำ<br />
(1) หนังสือมอบอำนาจของนิติบุคคลเป็นหลักฐานทั้งติดอากรแสดมป์ 5 บาท<br />
(2) หนังสือรับรองนิติบุคคลนั้นของกระทรวงพาณิชย์<br />
<br />
แจ้งความบัตรประจำตัวประชาชนหาย<br />
<br />
กรุงเทพมหานคร แจ้งที่สถานีตำรวจ<br />
ต่างจังหวัด สามารถแจ้งความได้ที่ ที่ว่าการอำเภอ/กิ่งอำเภอ หรือสถานีตำรวจก็ได้<br />
<br />
อายุของบัตร<br />
<br />
กำหนดให้ใช้ได้ 6 ปี เมื่อถึงกำหนดสิ้นอายุบัตร ต้องไป ติดต่อขอทำบัตรใหม่ภายใน 90 วันนับแต่วันที่บัตรหมดอายุ เว้นแต่บัตรที่ยังไม่หมดอายุ ในวันที่ ผู้ถือบัตรมีอายุครบ 70 ปีบริบูรณ์ บัตรนั้นสามารถใช้ได้ต่อไปตลอดชีวิต<br />
<br />
ความผิด<br />
<br />
ผู้ถือบัตรผู้ใดไม่อาจแสดงบัตรได้ เมื่อเจ้าพนักงานตรวจบัตร ขอตรวจมีโทษ ปรับไม่เกิน 100 บาท<br />
ไม่ยื่นคำขอมีบัตรภายในกำหนดเวลามีโทษปรับไม่เกิน 200 บาท<br />
บัตรหมดอายุไม่ต่อบัตรภายในกำหนด หรือบัตรหายแล้วไม่ขอม บัตรใหม่ ภายในกำหนดมีโทษปรับไม่เกิน 200 บาท<br />
ผู้ไม่มีสัญชาติไทย ผู้ใดยื่นคำขอมีบัตรโดยแจ้งข้อความหรือ แสดงหลักฐานอันเป็นเท็จต่อพนักงาน เจ้าหน้าที่ว่าตนเป็น ผู้มีสัญชาติไทยหรือใช้บัตรซึ่งตนหมดสิทธิ์ใช้ ต้องระวางโทษ จำคุกตั้งแต่หกเดือนถึงห้าปีและปรับตั้งแต่หนึ่งหมื่นบาทถึงหนึ่งแสนบาท<br />
<br />
<b><br /></b>
<b>แจ้งความเอกสารสำคัญหาย</b><br />
เช่น บัตรประจำตัวประชาชน ใบอนุญาตขับขี่รถยนต์, จักรยานยนต์, โฉนดที่ดิน,ใบสำคัญประจำตัวต่างด้าว ฯลฯ มีขั้นตอนดำเนินการดังนี้<br />
1. ยื่นคำร้องแจ้งว่าเอกสารดังกล่าวหาย ต่อสถานีตำรวจท้องที่ที่หาย<br />
2. เจ้าพนักงานตำรวจจะทำการสอบสวนว่าหายจริงหรือไม่ แล้วลงประจำวันไว้เป็นหลักฐาน<br />
3. เจ้าพนักงานตำรวจจะออกหลักฐานยืนยันไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการต่อไป<br />
<br />
แจ้งความคนหาย<br />
หลักฐานต่างๆ ที่ควรนำไปแสดงต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ คือ<br />
1. บัตรประจำตัวผู้หาย (ถ้ามี)<br />
2. ใบสำมะโนครัว (ทะเบียนบ้าน) ผู้หาย<br />
3. ภาพถ่ายคนหาย (เป็นภาพถ่ายที่ใหม่ที่สุด)<br />
4. ใบสำคัญทางราชการ เช่น ใบเกิด,ใบสำคัญทหาร (ใบกองเกิน, กองหนุน)<br />
<br />
แจ้งความรถและเรือหาย<br />
หลักฐานต่างๆ ที่ควรนำไปแสดงต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ คือ<br />
1. ใบทะเบียนรถยนต์ รถจักรยานยนต์ เรือ หรือ พาหนะอื่นๆ ที่หาย<br />
2. ใบรับเงินหรือสัญญาซื้อขายเท่าที่มี<br />
3. ถ้าเป็นตัวแทนห้างร้าน บริษัทไปแจ้งความควรมีหนังสือมอบอำนาจจากเจ้าของหรือ ผู้จัดการของห้างร้าน บริษัทนั้นๆ ไป รวมทั้งหนังสือรับรองบริษัทด้วย<br />
4. หนังสือเกี่ยวกับการติดต่อหรือเอกสารที่จะใช้เป็นพยานหลักฐานได้ (ถ้ามี)<br />
5. หนังสือคู่มือประจำตัวรถที่ทางบริษัทห้างร้านจ่ายให้เป็นคู่มือ ถ้าไม่มีหนังสือคู่มือรถ ให้จำยี่ห้อ สี แบบ หมายเลขประจำวันเครื่องและตัวรถไปด้วย (ถ้ามี)<br />
<br />
แจ้งความทรัพย์สินหาย<br />
หลักฐานต่างๆ ที่ควรนำไปแสดงต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ คือ<br />
1. ใบเสร็จรับเงินซื้อขาย หรือหลักฐานการแสดงการซื้อขายทรัพย์สินนั้น<br />
2. รูปพรรณทรัพย์สินนั้นๆ (ถ้ามี)<br />
3. ตำหนิหรือลักษณะพิเศษต่างๆ<br />
4. เอกสารสำคัญต่างๆ เท่าที่มี<br />
5. ในกรณีลักทรัพย์ในบ้านเรือน หรือสำนักงานให้รักษาร่องรอยหลักฐานในที่เกิดเหตุไว้ อย่าให้ผู้ใดเข้าไปแตะต้องหรือเคลื่อนย้ายสิ่งของในที่เกิดเหตุจนเจ้า หน้าที่ตำรวจจะไปถึงBTC Admin http://www.blogger.com/profile/17552179607270050206noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-224978953028537233.post-78500024622056754792018-02-15T20:44:00.000-08:002018-02-15T20:44:03.679-08:00ผจก.นิติบุคคล และคณะกรรมการ ทำหน้าที่ของคุณครบหรือยัง!!!<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://4.bp.blogspot.com/-5CMRiK0AhV8/WoZhhqZEOPI/AAAAAAABucU/0lpXqRfMsKwE0nv1692hUFDwbUEHzDVawCLcBGAs/s1600/TP7-3243-A.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="401" data-original-width="696" height="184" src="https://4.bp.blogspot.com/-5CMRiK0AhV8/WoZhhqZEOPI/AAAAAAABucU/0lpXqRfMsKwE0nv1692hUFDwbUEHzDVawCLcBGAs/s320/TP7-3243-A.jpg" width="320" /></a></div>
พระราชบัญญัติอาคารชุด (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551 ซึ่งมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 4 ก.ค. 2551 ได้แก้ไขเพิ่มเติมหลักเกณฑ์ต่างๆ จากพระราชบัญญัติอาคารชุด พ.ศ. 2522 ค่อนข้างมาก โดยมีวัตถุประสงค์ที่สำคัญคือ เพื่อแก้ไขปัญหาต่างๆ ซึ่งมีการร้องเรียนจากผู้เกี่ยวข้องผ่านกรมที่ดิน ได้มีปัญหาที่เกิดขึ้นจากการบริหารจัดการของผู้จัดการนิติบุคคลอาคารชุด ปัญหาที่เกิดจากผู้ประกอบการ และปัญหาที่เกิดจากผู้ซื้อห้องชุด<br />
<br />
<br />
<a name='more'></a><br /><br />
<br />
กรมที่ดินได้รวบรวมปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการบังคับใช้พระราชบัญญัติอาคารชุด พ.ศ. 2522 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติอาคารชุด (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551 ในรูปแบบถามตอบดังนี้<br />
<br />
<br />
<br />
- ผู้จัดการจะต้องรับโทษตามพระราชบัญญัติอาคารชุดในกรณีใดบ้าง และมีโทษอย่างไร<br />
<br />
<br />
<br />
1.กรณีไม่ออกหนังสือรับรองการปลอดหนี้ให้แก่เจ้าของร่วมภายใน 15 วันนับตั้งแต่วันที่ได้รับคำร้องขอและเจ้าของร่วมได้ชำระหนี้อันเกิดจากค่าใช้จ่ายตามมาตรา 18 ครบถ้วนแล้ว<br />
<br />
<br />
<br />
2.กรณีไม่จัดให้มีการทำบัญชีรายรับรายจ่ายประจำเดือน และติดประกาศให้เจ้าของร่วมทราบภายใน 15 วันนับแต่วันสิ้นเดือน และต้องติดประกาศเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 15 วันต่อเนื่องกัน ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 5 หมื่นบาท และปรับอีกไม่เกินวันละ 500 บาท ตลอดเวลาที่ยังไม่ปฏิบัติให้ถูกต้อง<br />
<br />
<br />
<br />
3.กรณีไม่นำมติที่ประชุมใหญ่เจ้าของร่วมเรื่องการแก้ไขเพิ่มเติมข้อบังคับไปจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ภายใน 30 วันนับแต่วันที่ที่ประชุมใหญ่เจ้าของร่วมมีมติ ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 5,000 บาท<br />
<br />
<br />
<br />
4.กรณีไม่นำมติที่ประชุมใหญ่เจ้าของร่วมเรื่องแต่งตั้งผู้จัดการไปจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ภายใน 30 วันนับแต่วันที่ที่ประชุมใหญ่เจ้าของร่วมมีมติ ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 5,000 บาท<br />
<br />
<br />
<br />
5.กรณีไม่นำมติที่ประชุมใหญ่เจ้าของร่วมเรื่องแต่งตั้งกรรมการนิติบุคคลอาคารชุดไปจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ภายใน 30 วันนับแต่วันที่ที่ประชุมใหญ่เจ้าของร่วมมีมติ ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 5,000 บาท<br />
<br />
<br />
<br />
6.กรณีไม่จัดให้มีการประชุมใหญ่สามัญครั้งแรกภายใน 6 เดือนนับแต่วันที่ได้จดทะเบียนนิติบุคคลอาคารชุดเพื่อแต่งตั้งคณะกรรมการและพิจารณาให้ความเห็นชอบข้อบังคับ และผู้จัดการที่จดทะเบียนตามที่ได้ยื่นขอจดทะเบียนนิติบุคคลอาคารชุดไว้แล้วต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 5,000 บาท<br />
<br />
<br />
<br />
7.อาจต้องถูกลงโทษตามมาตรา 71 ซึ่งเป็นบทกำหนดโทษสำหรับนิติบุคคลอาคารชุดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรา 38/1 มาตรา 38/2 และมาตรา 38/3 ซึ่งหากไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่ามิได้มีส่วนในการกระทำผิดนั้น โดยมาตรา 38/1 38/2 38/3 มีรายละเอียดดังนี้<br />
<br />
<br />
<br />
มาตรา 38/1 ให้นิติบุคคลอาคารชุดจัดทำ งบดุลอย่างน้อย 1 ครั้งทุกรอบ 12 เดือน โดยให้ถือว่าเป็นรอบปีในทางบัญชีของนิติบุคคลอาคารชุดนั้น<br />
<br />
<br />
<br />
งบดุลตามวรรคหนึ่งต้องมีรายการแสดงจำนวนสินทรัพย์และหนี้ของนิติบุคคลอาคารชุดกับทั้งบัญชีรายรับรายจ่าย และต้องจัดให้มีผู้สอบบัญชีตรวจสอบ แล้วนำเสนอเพื่ออนุมัติในที่ประชุมใหญ่เจ้าของร่วมภายใน 120 วันนับแต่วันสิ้นปีทางบัญชี<br />
<br />
<br />
<br />
มาตรา 38/2 ให้นิติบุคคลอาคารชุดจัดทำรายงานประจำปีแสดงผลการดำเนินงานเสนอต่อที่ประชุมใหญ่เจ้าของร่วมพร้อมกับการเสนองบดุล และให้ส่งสำเนาเอกสารดังกล่าวให้แก่เจ้าของร่วมก่อนวันนัดประชุมใหญ่ล่วงหน้าไม่เกิน 7 วัน<br />
<br />
<br />
<br />
มาตรา 38/3 ให้นิติบุคคลอาคารชุดเก็บรักษารายงานประจำปีแสดงผลการดำเนินงานและงบดุล พร้อมทั้งข้อบังคับไว้ที่สำนักงานของนิติบุคคลอาคารชุดเพื่อให้พนักงานเจ้าหน้าที่หรือเจ้าของร่วมตรวจดูได้ รายงานประจำปีแสดงผลการดำเนินงานและงบดุลตามวรรคหนึ่ง ให้นิติบุคคลอาคารชุดเก็บรักษาไว้ไม่น้อยกว่า 10 ปีนับแต่วันที่ได้รับอนุมัติจากที่ประชุมใหญ่เจ้าของร่วม<br />
<br />
<br />
<br />
ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 1 หมื่นบาท<br />
<br />
<br />
<br />
คำถามเกี่ยวกับคณะกรรมการอาคารชุด<br />
<br />
<br />
<br />
- อาคารชุดจำเป็นต้องมีคณะกรรมการอาคารชุดทุกอาคารชุดหรือไม่<br />
<br />
<br />
<br />
ตามพระราชบัญญัติอาคารชุด (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551 ซึ่งมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 4 ก.ค. 2551 กฎหมายกำหนดให้ทุกอาคารชุดต้องจัดให้มีคณะกรรมการนิติบุคคลอาคารชุด ประกอบด้วยกรรมการไม่น้อยกว่า 3 คน แต่ไม่เกิน 9 คน การแต่งตั้งกรรมการผู้จัดการต้องนำไปจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ภายใน 30 วันนับแต่วันที่ที่ประชุมใหญ่เจ้าของร่วมมีมติแต่งตั้ง<br />
<br />
<br />
<br />
การแต่งตั้งกรรมการมีผลนับแต่ที่ประชุมใหญ่เจ้าของร่วมมีมติแต่งตั้ง แต่อาจใช้บังคับบุคคลภายนอกไม่ได้หากยังไม่นำไปจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่<br />
<br />
<br />
<br />
- ใครบ้างมีสิทธิได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมการ<br />
<br />
<br />
<br />
1.เจ้าของร่วมหรือคู่สมรสของเจ้าของร่วม<br />
<br />
<br />
<br />
2.ผู้แทนโดยชอบธรรม ผู้อนุบาล หรือผู้พิทักษ์ในกรณีที่เจ้าของร่วมเป็นผู้เยาว์ คนไร้ความสามารถ หรือคนเสมือนไร้ความสามารถ แล้วแต่กรณี<br />
<br />
<br />
<br />
3.ตัวแทนของนิติบุคคลจำนวน 1 คน ในกรณีที่นิติบุคคลเป็นเจ้าของร่วม<br />
<br />
<br />
<br />
ในกรณีที่ห้องชุดใดมีผู้ถือกรรมสิทธิ์เป็นเจ้าของร่วมหลายคนให้มีสิทธิได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมการจำนวน 1 คน<br />
<br />
<br />
<br />
- กรรมการมีวาระการดำรงตำแหน่งคราวละกี่ปี<br />
<br />
<br />
<br />
คราวละ 2 ปี แต่จะดำรงตำแหน่งเกิน 2 วาระติดต่อกันไม่ได้ เว้นแต่ไม่อาจหาบุคคลอื่นมาดำรงตำแหน่งได้<br />
<br />
<br />
<br />
- เมื่อกรรมการครบกำหนดตามเวลาแล้ว ระหว่างที่ยังไม่มีการแต่งตั้งกรรมการขึ้นมาใหม่ ใครเป็นผู้มีอำนาจหน้าที่แทนกรรมการดังกล่าว<br />
<br />
<br />
<br />
เมื่อครบกำหนดวาระการดำรงตำแหน่งแล้ว หากยังไม่ได้มีการแต่งตั้งกรรมการขึ้นใหม่ ให้กรรมการซึ่งพ้นจากตำแหน่งตามวาระนั้นปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่ากรรมการซึ่งได้รับแต่งตั้งใหม่เข้ารับหน้าที่<br />
<br />
<br />
<br />
- ใครเป็นผู้แต่งตั้งกรรมการ<br />
<br />
<br />
<br />
กรรมการแต่งตั้งโดยมติที่ประชุมใหญ่ตามมาตรา 44 คือได้รับคะแนนเสียงข้างมากของ เจ้าของร่วมที่เข้าประชุม โดยมีองค์ประชุมคือหนึ่งในสี่ของจำนวนเสียงลงคะแนนทั้งหมด ในกรณีเจ้าของร่วมมาประชุมไม่ครบองค์ประชุมคือมีผู้มาประชุมคะแนนเสียงรวมกันไม่ถึงหนึ่งในสี่ของจำนวนคะแนนเสียงทั้งหมดให้เรียกประชุมใหม่ภายใน 15 วันนับแต่วันเรียกประชุมครั้งก่อน และการประชุมใหญ่ครั้งหลังนี้ไม่บังคับว่าจะต้องครบองค์ประชุม<br />
<br />
<br />
<br />
- การแต่งตั้งกรรมการต้องจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่หรือไม่<br />
<br />
<br />
<br />
กฎหมายกำหนดให้ผู้จัดการต้องนำมติของที่ประชุมใหญ่เจ้าของร่วมที่มีมติแต่งตั้งกรรมการไปจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ภายใน 30 วันนับแต่วันที่ที่ประชุมใหญ่เจ้าของร่วมมีมติ<br />
<br />
<br />
<br />
- การแต่งตั้งกรรมการมีผลเมื่อใด<br />
<br />
<br />
<br />
มีผลเมื่อที่ประชุมใหญ่มีมติแต่งตั้ง แต่อาจไม่สามารถใช้ยันแก่บุคคลภายนอกได้ หากยังไม่นำไปจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่<br />
<br />
<br />
<br />
- ถ้าผู้จัดการไม่นำมติของที่ประชุมใหญ่เจ้าของร่วมไปจดทะเบียนแต่งตั้งกรรมการต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ภายใน 30 วัน ผลทางกฎหมายเป็นอย่างไร<br />
<br />
<br />
<br />
มติที่ประชุมเจ้าของร่วมยังมีผล แต่ผู้จัดการมีโทษฐานฝ่าฝืนมาตรา 69 แห่งพระราชบัญญัติอาคารชุด พ.ศ. 2522 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติอาคารชุด (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551 ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 5,000 บาท<br />
<br />
<br />
<br />
- คุณสมบัติของบุคคลที่จะได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมการมีอย่างไรบ้าง<br />
<br />
<br />
<br />
บุคคลซึ่งจะได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมการต้องไม่มีลักษณะต้องห้ามดังต่อไปนี้<br />
<br />
<br />
<br />
1.เป็นผู้เยาว์ คนไร้ความสามารถ หรือคนเสมือนไร้ความสามารถ<br />
<br />
<br />
<br />
2.เคยถูกที่ประชุมใหญ่เจ้าของร่วมให้พ้นจากตำแหน่งกรรมการ หรือถอดถอนจากการเป็นผู้จัดการเพราะเหตุทุจริต หรือมีความประพฤติเสื่อมเสียหรือบกพร่องในศีลธรรมอันดี<br />
<br />
<br />
<br />
3.เคยถูกไล่ออก ปลดออก หรือให้ออกจากราชการ องค์การ หรือหน่วยงานของรัฐหรือเอกชน ฐานทุจริตต่อหน้าที่<br />
<br />
<br />
<br />
4.เคยได้รับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก เว้นแต่เป็นโทษสำหรับความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ<br />
<br />
<br />
<br />
- กรรมการมีหน้าที่อย่างไร<br />
<br />
<br />
<br />
คณะกรรมการมีอำนาจหน้าที่ดังต่อไปนี้<br />
<br />
<br />
<br />
1.ควบคุมการจัดการนิติบุคคลอาคารชุด<br />
<br />
<br />
<br />
2.แต่งตั้งกรรมการคนหนึ่งขึ้นทำหน้าที่เป็นผู้จัดการ ในกรณีที่ไม่มีผู้จัดการหรือผู้จัดการไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ตามปกติได้เกิน 7 วัน<br />
<br />
<br />
<br />
3.จัดประชุมคณะกรรมการ 1 ครั้งในทุก 6 เดือนเป็นอย่างน้อย<br />
<br />
<br />
<br />
4.หน้าที่อื่นตามที่กำหนดในกฎกระทรวง (ปัจจุบันยังไม่มีการออกกฎกระทรวงกำหนดหน้าที่ของกรรมการแต่อย่างใด)<br />
<br />
<br />
<br />
- ในกรณีคณะกรรมการแต่งตั้งกรรมการขึ้นทำหน้าที่เป็นผู้จัดการต้องจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่หรือไม่<br />
<br />
<br />
<br />
ไม่ต้องไปจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ เนื่องจากไม่ใช่เป็นเรื่องแต่งตั้งผู้จัดการ แต่เป็นกรณีคณะกรรมการแต่งตั้งกรรมการขึ้นทำหน้าที่เป็นผู้จัดการ (ชั่วคราว) เนื่องจากไม่มีผู้จัดการ หรือผู้จัดการไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ตามปกติได้เกิน 7 วัน<br />
<br />
<br />
<br />
- การถอดถอนผู้จัดการ (ชั่วคราว) ที่เป็นกรรมการแต่ได้รับการแต่งตั้งจากคณะกรรมการให้ทำหน้าที่เป็นผู้จัดการ ต้องใช้มติคะแนนของเจ้าของร่วมเท่าไร<br />
<br />
<br />
<br />
เนื่องจากบุคคลดังกล่าวเป็นกรรมการไม่ใช่ผู้จัดการ เพียงแต่ได้รับแต่งตั้งจากคณะกรรมการไปทำหน้าที่ผู้จัดการในกรณี<br />
<br />
<br />
<br />
1.ไม่มีผู้จัดการ<br />
<br />
<br />
<br />
2.มีผู้จัดการแต่ผู้จัดการไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ตามปกติได้เกิน 7 วัน<br />
<br />
<br />
<br />
ดังนั้น เมื่อมีการแต่งตั้งผู้จัดการแล้วหรือผู้จัดการที่มีอยู่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ตามปกติแล้ว กรรมการดังกล่าวก็พ้นจากหน้าที่ผู้จัดการทันที โดยไม่ต้องใช้มติถอดถอนจากเจ้าของร่วม<br />
<br />
<br />
<br />
- การเปลี่ยนตัวกรรมการเพื่อทำหน้าที่ผู้จัดการกระทำได้หรือไม่<br />
<br />
<br />
<br />
กระทำได้โดยมติเสียงข้างมากของคณะกรรมการ<br />
<br />
<br />
<br />
ในกรณีนี้ไม่สามารถใช้มติคะแนนเสียงของเจ้าของร่วมให้มีการเปลี่ยนแปลงตัวกรรมการให้มาทำหน้าที่ผู้จัดการได้ เนื่องจากกฎหมายกำหนดให้เป็นอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการ กรรมการดังกล่าวพ้นหน้าที่จากการเป็นผู้จัดการทันทีนับแต่เสียงข้างมากของคณะกรรมการมีมติให้เปลี่ยนตัวกรรมการเพื่อทำหน้าที่ผู้จัดการ และกฎหมายไม่ได้กำหนดให้ต้องนำไปจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่แต่อย่างใด<br />
<br />
<br />
<br />
- คณะกรรมการต้องรับโทษตามพระราชบัญญัติอาคารชุดฯ ในกรณีไหนบ้าง อย่างไร<br />
<br />
<br />
<br />
ตามพระราชบัญญัติอาคารชุดฯ ไม่ได้กำหนดโทษสำหรับคณะกรรมการไว้แต่อย่างใด คงกำหนดบทลงโทษไว้เฉพาะประธานกรรมการดังนี้<br />
<br />
<br />
<br />
กรณีที่ 1 ประธานไม่จัดให้มีการประชุมคณะกรรมการตามคำร้องขอของกรรมการตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป ภายใน 7 วันนับแต่วันที่ได้รับการร้องขอ ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 5,000 บาท<br />
<br />
<br />
<br />
กรณีที่ 2 ไม่จัดประชุมคณะกรรมการทุก 6 เดือน ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 5,000 บาท<br />
<br />
<br />
<br />
- กรรมการนิติบุคคลที่ดำรงตำแหน่งอยู่ก่อนพระราชบัญญัติอาคารชุด (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551 มีผลบังคับใช้ (4 ก.ค. 2551) มีผลอย่างไร<br />
<br />
<br />
<br />
กฎหมายกำหนดให้ดำรงตำแหน่งต่อไป จนกว่าจะครบตามวาระที่กำหนดไว้ในข้อบังคับ หรือจนกว่าที่ประชุมใหญ่เจ้าของร่วมจะมีการแต่งตั้งกรรมการขึ้นใหม่BTC Admin http://www.blogger.com/profile/17552179607270050206noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-224978953028537233.post-29615151949943752502018-02-05T19:02:00.002-08:002018-02-05T19:02:29.699-08:00บัตรประชาชนใช้อย่างไรจึงจะปลอดภัย<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://3.bp.blogspot.com/-d2AKn1IGYbM/WnkN6CVwcfI/AAAAAAABuYI/OI7ZIFibo9Ido0wV85vwqFSaYpMinBVdACLcBGAs/s1600/S__240607393.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="1280" data-original-width="1280" height="320" src="https://3.bp.blogspot.com/-d2AKn1IGYbM/WnkN6CVwcfI/AAAAAAABuYI/OI7ZIFibo9Ido0wV85vwqFSaYpMinBVdACLcBGAs/s320/S__240607393.jpg" width="320" /></a></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
ทุกวันนี้ ไม่ว่าเราจะทำธุรกรรมอะไร ก็จะต้องใช้บัตรประชาชน การเซ็นสำเนาถูกต้อง เพื่อแสดงตัวตนถือเป็นหลักฐานสำคัญ วันนี้จึงได้นำเอาวิธีการเซ็นสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนที่ถูกต้องและวิธีการเซ็นค่อมเอกสารสำคัญ ไม่ว่าจะเป็น สำเนาทะเบียนบ้าน วุฒิการศึกษา หรือใบรับรองต่างๆ นั้น ซึ่งการขีดคร่อมเอกสารเมื่อต้องใช้ประกอบเป็นหลักฐานในการทำธุรกรรมต่างๆ กับหน่วยงานภาครัฐ องค์กรเอกชน หรือหน่วยงานอิสระอย่างอื่น หากเจ้าของสำเนาเอกสารไม่ได้ระบุวัตถุประสงค์ของการนำไปใช้ประกอบเพื่อเป็นหลักฐานให้ถูกต้องเรียบร้อย ก็อาจถูกมิจฉาชีพนำสำเนาเอกสารดังกล่าวไปใช้ในทางที่ก่อให้เกิดผลร้ายกับเจ้าของสำเนาเอกสารเอง เช่น นำไปใช้ในกรณีขอเปิดใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่รายเดือน หรือการทำบัตรเครดิตต่างๆ</div>
<a name='more'></a><br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
ทั้งนี้การขีดคร่อม และเขียนข้อความกำกับบนสำเนาเอกสารนั้น ไม่ได้มีกฎหมายกำหนดไว้เป็นการเฉพาะ แต่เป็นวิธีการหนึ่งเพื่อป้องกันมิให้มิจฉาชีพ นำสำเนาเอกสารนั้นไปใช้ประโยชน์ในทางที่มิชอบด้วยกฎหมาย แต่บางครั้งการขีดคร่อมเอกสารเพื่อนำไปใช้ประกอบเป็นหลักฐาน หากกระทำไม่ถูกต้อง อาจส่งผลให้สำเนาเอกสารฉบับนั้น ไม่สามารถใช้บังคับได้ตามกฎหมาย หรืออาจกลายเป็นลักษณะของ การขีดฆ่าเอกสารทิ้งเสีย</div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
ดังนั้น หลักของการขีดคร่อมเอกสารที่ถูกวิธี ควรปฏิบัติ ดังนี้</div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
1. ควรเขียนไว้บริเวณที่ยากแก่การแก้ไข</div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
2. ขีดเส้นทึบยาวทับสำเนาเอกสารเพียงเส้นเดียว</div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
3. ระบุวัตถุประสงค์ของการนำไปใช้ให้ชัดเจนเหนือเส้นตามข้อ 2.</div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
4. ระบุวันเดือนปี</div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
5. รับรองสำเนาถูกต้อง </div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
6. ลงลายมือชื่อทั้งตัวบรรจง และลายเซ็นชื่อ </div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
7. ไม่ขีดเส้นเป็นแบบตาหมากรุก ขีดเส้นทึบยาวสองเส้นขนานกัน หรือขีดกากบาท </div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
8. ไม่เขียนตัวหนังสือทับบริเวณสาระสำคัญของสำเนาเอกสาร </div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
9. ต้องใช้ปากกาหมึกสีดำเท่านั้น ถึงจะปลอดภัยที่สุด เพราะ เครื่องถ่ายเอกสาร บางเครื่อง สามารถถ่ายเอกสารโดยดึงหมึกสีน้ำเงินออก เหลือใช้เฉพาะข้อความของบัตรประชาชน แล้วทำให้มิจฉาชีพ เซ็นเอกสารบัตรประชาชนนั้น แทนเราได้เลย</div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
สำหรับหลักการทั้ง 9 ข้อนี้ สามารถนำไปใช้งานได้จริง และเป็นเทคนิคในการป้องกันตัวเองจากกลุ่มมิจฉาชีพได้อีกด้วย </div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
เพิ่มเติมได้ข้อควรจำง่ายๆ ที่ควรรู้ไว้ ดังนี้</div>
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://1.bp.blogspot.com/-dDWFQjV6lUc/WnkN6L_AHpI/AAAAAAABuYA/UNrEhdQfkCcsBBrojiALvse79hVDxkJlQCLcBGAs/s1600/S__240607394.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="1242" data-original-width="1242" height="320" src="https://1.bp.blogspot.com/-dDWFQjV6lUc/WnkN6L_AHpI/AAAAAAABuYA/UNrEhdQfkCcsBBrojiALvse79hVDxkJlQCLcBGAs/s320/S__240607394.jpg" width="320" /></a></div>
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://1.bp.blogspot.com/-EHjbhZqhQ-o/WnkN56o5ZuI/AAAAAAABuYE/bBuIU2gyg4IEAPVOs4DL6WvZdRmLxVNrACLcBGAs/s1600/S__240607395.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="1242" data-original-width="1242" height="320" src="https://1.bp.blogspot.com/-EHjbhZqhQ-o/WnkN56o5ZuI/AAAAAAABuYE/bBuIU2gyg4IEAPVOs4DL6WvZdRmLxVNrACLcBGAs/s320/S__240607395.jpg" width="320" /></a></div>
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://2.bp.blogspot.com/-4PYTHsAvLH4/WnkN7GpXUtI/AAAAAAABuYM/-OfCywhqcXgXZRyeawhD6DkLRLct026DwCLcBGAs/s1600/S__240607396.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="1280" data-original-width="1280" height="320" src="https://2.bp.blogspot.com/-4PYTHsAvLH4/WnkN7GpXUtI/AAAAAAABuYM/-OfCywhqcXgXZRyeawhD6DkLRLct026DwCLcBGAs/s320/S__240607396.jpg" width="320" /></a></div>
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://4.bp.blogspot.com/-JKqTiAEvOg4/WnkN7UWuoAI/AAAAAAABuYQ/dLr_-8iEzNAxMgiYEYr7L5A1SlpMYK2qwCLcBGAs/s1600/S__240607397.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="1280" data-original-width="1280" height="320" src="https://4.bp.blogspot.com/-JKqTiAEvOg4/WnkN7UWuoAI/AAAAAAABuYQ/dLr_-8iEzNAxMgiYEYr7L5A1SlpMYK2qwCLcBGAs/s320/S__240607397.jpg" width="320" /></a></div>
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://1.bp.blogspot.com/-9mQiHEvVx3Y/WnkN7qDZWfI/AAAAAAABuYU/5A7s2yNKYxQ9Lwt1IqrzDFMgMWWrdcbbgCLcBGAs/s1600/S__240607398.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="1280" data-original-width="1280" height="320" src="https://1.bp.blogspot.com/-9mQiHEvVx3Y/WnkN7qDZWfI/AAAAAAABuYU/5A7s2yNKYxQ9Lwt1IqrzDFMgMWWrdcbbgCLcBGAs/s320/S__240607398.jpg" width="320" /></a></div>
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://2.bp.blogspot.com/-9vUmhpjh3u8/WnkN8DNuE7I/AAAAAAABuYY/WupQtdxyA8YXlYSZdUubbXila1xb_Sj8QCLcBGAs/s1600/S__240607399.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="1242" data-original-width="1242" height="320" src="https://2.bp.blogspot.com/-9vUmhpjh3u8/WnkN8DNuE7I/AAAAAAABuYY/WupQtdxyA8YXlYSZdUubbXila1xb_Sj8QCLcBGAs/s320/S__240607399.jpg" width="320" /></a></div>
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://2.bp.blogspot.com/--iM1Cr-Xt2A/WnkN8BlNbvI/AAAAAAABuYc/ctwoQV0Oy4IYQzo4Ev4jzAiztzxboylJgCLcBGAs/s1600/S__240607400.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="1280" data-original-width="1280" height="320" src="https://2.bp.blogspot.com/--iM1Cr-Xt2A/WnkN8BlNbvI/AAAAAAABuYc/ctwoQV0Oy4IYQzo4Ev4jzAiztzxboylJgCLcBGAs/s320/S__240607400.jpg" width="320" /></a></div>
<br />BTC Admin http://www.blogger.com/profile/17552179607270050206noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-224978953028537233.post-35343105814931552322017-11-29T17:25:00.000-08:002017-11-29T17:25:10.642-08:00จ้างช่างไฟไม่มีใบอนุญาต จับ คนจ้าง 30,000 ช่าง 5,000<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://3.bp.blogspot.com/-mwp8M3P2OiE/Wh9dx2WcU8I/AAAAAAABsrk/D7AqljzGcQcQHS2NjzOGxRorhjNznmI4wCLcBGAs/s1600/N1318580.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="1002" data-original-width="890" height="200" src="https://3.bp.blogspot.com/-mwp8M3P2OiE/Wh9dx2WcU8I/AAAAAAABsrk/D7AqljzGcQcQHS2NjzOGxRorhjNznmI4wCLcBGAs/s200/N1318580.jpg" width="177" /></a></div>
<br />
<br />
เราได้พูดถึงเรื่องการประกาศใช้ พ.ร.บ. ส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงาน (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2557 ที่จะมีผลบังคับให้ช่างไฟฟ้าภายในอาคารทุกคนจะต้องผ่านการทดสอบเพื่อรับหนังสือรับรองความรู้ความสามารถ ตั้งแต่ วันที่ 26 ตุลาคม 2559 ที่จะถึงนี้ ซึ่งแน่นอนว่าเมื่อมีการบังคับใช้ก็ย่อมต้องมีอัตราโทษ ซึ่งเราจะมาอธิบายเพิ่มเติมกันในครั้งนี้<br />
<a name='more'></a><br />
<br />
อัตราโทษที่กำหนดไว้เกี่ยวกับเรื่องการไม่มีใบอนุญาตของช่างไฟฟ้าภายในอาคาร แต่ฝ่าฝืนทำงาน ได้มีการกำหนดโทษเอาไว้ว่า...<br />
<br />
“หากฝ่าฝืนต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 5,000 บาท และผู้จ้างงาน ผู้ไม่มีหนังสือรับรองความรู้ความสามารถทำงานต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 30,000 บาท” !!!<br />
<br />
แปลขยายความให้เข้าใจง่ายขึ้นก็คือ หาก ช่างไฟฟ้าผู้ใดที่ยังไม่ได้รับใบอนุญาตดังกล่าว ไปรับงาน หากถูกจับ จะถูกปรับในอัตราไม่เกิน 5,000 บาท ส่วนตัวผู้ว่าจ้าง ที่จ้างช่างไม่มีใบอนุญาตให้มาทำงาน จะถูกปรับในอัตราที่สูงกว่า คือ ไม่เกิน 30,000 บาท !!<br />
<br />
สำหรับส่วนตัวของ “ผู้จ้าง” ในที่นี้ต้องอธิบายเพิ่มเติมสักเล็กน้อย เนื่องจากผลที่จะบังคับใช้นั้น ตัวผู้ว่าจ้าง หมายถึง หัวหน้างาน หรือผู้รับเหมาที่จ้างช่างเข้ามาทำงาน ไม่ได้หมายถึง ผู้ที่เป็นเจ้าของบ้าน ยกตัวอย่างก็คือ เจ้าของบ้าน ต้องการต่อเติมอาคาร ก็ไปว่าจ้างผู้รับเหมาให้มาทำงานให้ ซึ่งในทีมของผู้รับเหมาก่อสร้าง ก็จะมีช่างไฟฟ้า ซึ่งหากว่าช่างไฟฟ้าที่เข้ามาทำงานไฟฟ้าภายในอาคาร ที่ว่าจ้างเข้ามานี้ เป็นผู้ที่ยังไม่มีใบอนุญาตรับรอง ตัวของช่างไฟฟ้าคนนั้นจะโดนปรับเป็นเงินไม่เกิน 5,000 บาท ส่วน ผู้รับเหมา ที่ว่าจ้างช่าง จะถูกปรับในอัตราไม่เกิน 30,000 บาท ! ซึ่งกรณีนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้าของบ้าน...<br />
<br />
เรื่องนี้ถือได้ว่าเป็นยาแรงขนานหนึ่ง ! ที่เกิดขึ้นในวงการช่าง ที่ทั้งช่างไฟฟ้าและผู้รับเหมาจะต้องเอาใจใส่และให้ความสำคัญ ไม่เช่นนั้นก็จะเกิดปัญหาถูกปรับไม่คุ้มกับรายได้... อย่างไรก็ตาม กฎหมายนี้ก็มีเหตุผลในการออกมาบังคับใช้ซึ่งเราก็ควรทำความเข้าใจที่ไปที่มาของมันเสียก่อน...<br />
<br />
เหตุผลที่มีการกำหนดกฎเกณฑ์ข้อนี้ขึ้นบังคับใช้ ก็เนื่องมาจาก... การทำงานในสาขาช่างไฟฟ้าภายในอาคาร เป็นอาชีพที่อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อบุคคลอื่น หรือต่อสาธารณะ ซึ่งเราจะเห็นได้ว่า บ่อยครั้งที่เกิดไฟไหม้จากสาเหตุไฟฟ้าลัดวงจร ซึ่งเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับ ช่างไฟฟ้าภายในอาคาร ซึ่งเป็นไปได้ว่าส่วนหนึ่งของการลัดวงจรเป็น เพราะมีช่างที่ไม่มีทักษะเพียงพอ ไม่ได้รับการเรียนและฝึกฝนอย่างถูกต้อง เป็นช่างแบบครูพักลักจำ หัดทำเองแล้วมารับงาน ซึ่งเป็นไปได้ว่าทำให้เกิดงานที่ไม่ได้ระดับมาตรฐาน ก่อให้เกิดความเสี่ยงที่จะเกิดอันตรายขึ้น การทดสอบเพื่อมอบใบรับรอง ถือเป็นการจัดระบบมาตรฐาน ทำให้เกิดความปลอดภัยที่สูงขึ้น และเรื่องนี้ยังเป็นประโยชน์ กับทั้งเจ้าของบ้าน ผู้รับเหมา และตัวของช่างไฟฟ้าเอง ด้วย ดังนั้น... รีบดำเนินการเสียตั้งแต่ตอนนี้ ! ติดต่อสำนักงานพัฒนาฝีมือแรงงานในจังหวัดของท่าน เพื่อทราบหลักเกณฑ์เพิ่มเติม หรือ สอบถามได้ที่ 02-245-1707 ต่อ 601 หรือ 602 ได้ในวันเวลาราชการ<br />
<br />BTC Admin http://www.blogger.com/profile/17552179607270050206noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-224978953028537233.post-23351076861485937792017-11-06T21:11:00.000-08:002017-11-06T21:11:18.149-08:00แกล้งร้องเรียน, แจ้งความ ฟ้องผู้อื่นระวังจะถูกฟ้องกลับ ถ้าไม่สุจริต<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://4.bp.blogspot.com/-DePY8B-BK38/WgEKB9gCd2I/AAAAAAABsRY/0Yb1BP924MgRESy-aMC90SAIG3FSre7rgCLcBGAs/s1600/500x322.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="332" data-original-width="500" height="212" src="https://4.bp.blogspot.com/-DePY8B-BK38/WgEKB9gCd2I/AAAAAAABsRY/0Yb1BP924MgRESy-aMC90SAIG3FSre7rgCLcBGAs/s320/500x322.jpg" width="320" /></a></div>
<br />
ผู้เสียหายมีอำนาจร้องขอความเป็นธรรม ร้องทุกข์กล่าวโทษ ฟ้องร้องดำเนินคดี สิทธิดังกล่าวเป็นไปตาม ป.วิ.พ. หรือ ป.วิ.อ.แต่การใช้สิทธิต้องกระทำโดยสุจริต ไม่กลั่นแกล้งหรือรู้อยู่แล้วว่าเป็นความเท็จไม่เป็นความจริง แต่ไปแกล้งร้องเรียนหรือแกล้งฟ้องร้องถือว่า เป็นการกระทำละเมิด<br />
<a name='more'></a><br />
1. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1147/2503<br />
การที่จำเลยแจ้งความเท็จเป็นการละเมิดต่อโจทก์ เพราะจำเลยไม่มีอำนาจเอาความไม่จริงไปแจ้งความกล่าวหาโจทก์ และเป็นผลโดยตรงที่เกิดจากการละเมิดของจำเลยทำให้โจทก์ถูกจับกุมและควบคุมเสียเสรีภาพจำเลยต้องรับผิดฐานละเมิด<br />
2.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3828/2533<br />
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 95 บัญญัติห้ามมิให้ศาลรับฟังพยานบุคคลใด เว้นแต่บุคคลนั้นเป็นผู้ที่ได้เห็นได้ยินหรือทราบข้อความเกี่ยวในเรื่องที่จะให้การเป็นพยานนั้นมาด้วยตนเองก็ตาม แต่ก็มีข้อยกเว้นว่า ความในข้อนี้ให้ใช้ได้ต่อเมื่อไม่มีบทบัญญัติแห่งกฎหมายโดยชัดแจ้งหรือคำสั่งของศาลว่าให้เป็นอย่างอื่น ดังนี้ แม้คำเบิกความของ ฉ.และว.เป็นพยานบอกเล่า และแม้ผู้บอกเล่ายังมีตัวอยู่และสามารถนำสืบมาได้ศาลก็ย่อมมีอำนาจรับฟังคำพยานโจทก์ทั้งสองปาก ซึ่งเบิกความประกอบพยานเอกสารดังกล่าวได้<br />
3.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 976/2543<br />
แม้โจทก์จะมีชื่อและนามสกุลอย่างเดียวกันกับลูกหนี้ของจำเลย แต่ก็มีภูมิลำเนาต่างกัน ทั้งลูกหนี้ของจำเลยไม่เคยย้ายภูมิลำเนา อีกทั้งเมื่อโจทก์ติดต่อทนายความจำเลยแจ้งว่ามิได้เป็นหนี้ ทนายความจำเลยหรือจำเลยกลับยืนยันว่าเป็นหนี้ ถ้าไม่ชำระหนี้จะฟ้องร้องต่อศาล ทำให้โจทก์เกิดความกลัว จึงได้ไปร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนเป็นเหตุให้โจทก์ถูกหนังสือพิมพ์รายวันลงข่าวเผยแพร่ไปทั่วราชอาณาจักร ทำให้โจทก์ถูกผู้บังคับบัญชาเรียกไปสอบสวนหามูลเหตุของข่าวการเป็นหนี้จำเลย และลงความเห็นว่าถ้าข่าวดังกล่าวเป็นจริงโจทก์จะถูกลงโทษ โจทก์ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการโทรศัพท์ทางไกลติดต่อญาติพี่น้องเพื่อแจ้งความจริงให้ทราบ และได้ว่าจ้างทนายความให้ตรวจสอบรายละเอียดเกี่ยวกับหนี้ดังกล่าว ดังนี้ กรณีถือได้ว่าจำเลยประมาทเลินเล่อหรือไม่ใยดีต่อผลแห่งความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นแก่โจทก์ในภายหลังโดยไม่ใช้ความระมัดระวังตามสมควรทำการตรวจสอบเกี่ยวกับตัวลูกหนี้ของจำเลยเสียใหม่ตามที่โจทก์แจ้งให้ทนายความของจำเลยหรือจำเลยทราบแล้วว่าโจทก์มิใช่ลูกหนี้ของจำเลย รวมทั้งจำเลยยังได้ยืนยันที่จะฟ้องร้องโจทก์ต่อศาล จนเป็นเหตุให้โจทก์เกิดความกลัวและนำเรื่องไปร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนจนถูกหนังสือพิมพ์รายวันบางฉบับนำข่าวไปเผยแพร่ทั่วราชอาณาจักร อันเป็นการกระทำต่อโจทก์โดยมิชอบด้วยกฎหมายทำให้โจทก์เสียหาย พฤติการณ์จึงถือได้ว่าจำเลยได้กระทำละเมิดต่อโจทก์อันจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์เพื่อการนั้นแล้วครบถ้วนด้วยองค์ประกอบแห่งความผิดเพื่อละเมิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 420<br />
4.คำพิพากษาฎีกาที่ 1051/2495<br />
เจ้าหนี้ตามคำพิพากษานำยึดบ้านเรือน โดยมีเหตุผลให้เชื่อโดยสุจริตว่าบ้านเรือนที่ยึดเป็นของลูกหนี้ตามคำพิพากษา จนถึงขายทอดตลาดบ้านเรือนนั้นไป ดังนี้ ย่อมถือได้ว่าเป็นการกระทำไปโดยใช้สิทธิของศาล เมื่อเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาหรือผู้แทนกระทำไปโดยมิได้ประมาทเลินเล่อแต่อย่างใดแล้ว ถึงแม้จะปรากฎว่าบ้านเรือนที่นำยึดเป็นของผู้อื่นการกระทำนั้น ไม่เป็นละเมิด<br />
การที่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาไปยึดทรัพย์ของลูกหนี้ตามคำพิพากษาถือว่าเป็นการใช้อำนาจตาม ป.วิ.พ.การยึดทรัพย์นี้บางครั้งทรัพย์ที่ยึดเป็นของบุคคลอื่น ถ้าเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาเชื่อโดยสุจริตว่าทรัพย์ที่ไปยึดเป็นของลูกหนี้ตามคำพิพากษาแล้ว ก็ถือว่าเป็นการใช้สิทธิตามที่ ป.วิ.พ. ให้อำนาจไว้ไม่เป็นการจงใจทำให้ผู้อื่นเสียหาย จะมีปัญหาเฉพาะเรื่องประมาทเลินเล่อหรือไม่ ถ้าเป็นทรัพย์ที่ลูกหนี้ตามคำพิพากษาครอบครองหรือใช้สอยอยู่ ซึ่งสามัญชนทั่วไปย่อมเชื่อได้ว่าทรัพย์ที่ยึดถือครอบครองหรือใช้สอบอยู่ เป็นของลูกหนี้ตามคำพิพากษาก็คงไม่ประมาทเลินเล่อ แต่ถ้าเป็นพวกอสังหาริมทรัพย์ก็น่าจะตรวจสอบจากเอกสารหนังสือสำคัญเกี่ยวกับสิทธิที่ดินก่อนหรือ ถ้าเชื่อว่าเขาครอบครองแทนกัน ก็จะต้องมีข้อเท็จจริงที่หนักแน่นให้ฟังได้ว่า หรือให้เข้าใจโดยสุจริตได้ว่า เป็นทรัพย์ของลูกหนี้ตามคำพิพากษา มิฉะนั้น อาจจะเป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่อ ซึ่งเป็นละเมิดได้<br />
5.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2390/2529<br />
จำเลยว่าจ้างโจทก์ให้เลี่ยมกรอบพระเครื่องให้4องค์แต่ไม่ไปรับพระเครื่องที่โจทก์เลี่ยมกรอบเสร็จแล้วคืนโจทก์จึงขายพระเครื่องไปเช่นนี้การที่จำเลยแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดีแก่โจทก์ฐานยักยอกทรัพย์โดยไม่ได้ความว่าจำเลยจงใจกลั่นแกล้งกล่าวหาย่อมถือว่าเป็นการใช้สิทธิตามกฎหมายโดยสุจริตและการที่พนักงานสอบสวนตั้งข้อหาควบคุมตัวและดำเนินการสอบสวนโจทก์จนกระทั่งพนักงานอัยการฟ้องโจทก์ต่อศาลจึงเป็นเรื่องที่อยู่ในอำนาจหน้าที่ของพนักงานสอบสวนและพนักงานอัยการการกระทำของจำเลยไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์. การฟ้องเรียกทรัพย์คืนหรือให้ใช้ราคาทรัพย์ไม่มีกฎหมายบัญญัติเรื่องอายุความไว้จึงต้องถืออายุความ10ปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา164.(ที่มา-ส่งเสิรมฯ)<br />
6.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 826 - 827/2514<br />
โจทก์ฟ้องจำเลยด้วยเรื่องหุ้นส่วนเลี้ยงและขายไก่แบ่งปันกำไรกันขอให้พิพากษาบังคับจำเลยใช้ทุนคืนและจ่ายผลกำไร ทางพิจารณาข้อเท็จจริงฟังได้ไม่ใช่เรื่องเข้าหุ้นส่วน เป็นเรื่องจำเลยซื้อสินค้าเชื่อค้างชำระกันอยู่ พิพากษาให้จำเลยชำระหนี้ค่าซื้อสินค้าเชื่อให้โจทก์ ย่อมเป็นการพิพากษานอกฟ้องนอกประเด็น<br />
เมื่อพฤติการณ์ที่จำเลยไปแจ้งความต่อเจ้าพนักงานให้ดำเนินคดีอาญาแก่โจทก์ จำเลยได้กระทำไปโดยเชื่อว่าตนมีสิทธิและใช้สิทธิของตนโดยชอบด้วยกฎหมาย และยังไม่ได้ความว่าจำเลยจงใจแกล้งให้โจทก์เสียหาย กรณียังไม่เป็นละเมิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420<br />
7.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3833/2528<br />
การใช้สิทธิทางศาล หากกระทำโดยไม่สุจริต จงใจแต่จะให้โจทก์ได้รับความเสียหาย โดยใช้ศาลเป็นเครื่องกำบัง ก็เป็นการกระทำละเมิดได้ โจทก์ฟ้องอ้างว่าจำเลยได้โอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินอันเป็นสามยทรัพย์ให้แก่บุคคลอื่นไป ไม่มีสิทธิในทางภาระจำยอมอีกแล้ว กลับมายื่นคำร้องและนำสืบพยานหลักฐานในการไต่สวนคำร้องโดยจงใจกลั่นแกล้งโจทก์ เพื่อให้โจทก์ได้รับความเสียหายหากได้ความเป็นความจริงตามฟ้องก็จะถือว่าจำเลยใช้สิทธิในทางศาลโดยสุจริตมิได้การกระทำของจำเลยอาจเป็นละเมิดต่อโจทก์ คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ห้ามโจทก์ โอนขาย จำหน่ายที่ดิน หากมีคำสั่งไปเพราะหลงเชื่อตามพยานหลักฐานเท็จหรือปกปิดความจริงที่จำเลยนำสืบ ย่อมเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ได้เช่นเดียวกัน ศาลชั้นต้นจึงชอบที่จะสืบพยานโจทก์จำเลยให้เสร็จสิ้นกระแสความเสียก่อนการสั่งงดสืบพยานโจทก์จำเลยเสียจึงถือว่าไม่ปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งว่าด้วยการพิจารณาเป็นการไม่ชอบ ศาลชั้นต้นพิเคราะห์คำฟ้อง คำให้การ แล้วมีคำสั่งงดสืบพยานโจทก์จำเลยและวินิจฉัยในข้อกฎหมายว่าคำสั่งศาลมิใช่ผลโดยตรงจากการที่จำเลยยื่นคำร้องการกระทำของจำเลยไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์ พิพากษายกฟ้อง เป็นการที่ศาลวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในข้อกฎหมายอันทำให้คดีเสร็จไปทั้งเรื่องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 24 ไม่เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาตาม มาตรา 227 แม้โจทก์จะไม่ได้โต้แย้งไว้ก็มีสิทธิอุทธรณ์และฎีกาต่อมาได้<br />
8.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 124/2487<br />
ในเรื่องหมิ่นประมาทเขาซึ่งหน้าอันเป็นผิดฐานลหุโทษนั้นถือว่าเป็นการทำละเมิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา420 ซึ่งศาลคำนวณค่าเสียหายให้ตามควรแก่พฤติการณ์ตามมาตรา 438<br />
คำว่าสิทธิหมายถึงประโยชน์อันบุคคลมีอยู่และบุคคลอื่นต้องเคารพหรือได้รับการรับรองและคุ้มครองของกฎหมาย<br />
9.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 804/2502<br />
ฟ้องโจทก์ที่บรรยายว่า จำเลยร้องเรียนและแจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงาน ถ้าโจทก์มิได้บรรยายให้ชัดแจ้งว่า ข้อความที่จำเลยร้องเรียนและแจ้งแก่เจ้าพนักงานนั้น เท็จอย่างใดและความจริงเป็นฉันใด อันพอที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดี แม้ข้อความในตอนท้ายจะมีกล่าวว่าโดยจำเลยรู้อยู่ก่อนแล้วว่า เป็นข้อความเท็จหรือมิได้มีการกระทำผิดอาญาเกิดขึ้น ก็เป็นข้อความที่กล่าวอย่างเคลือบคลุม ไม่ปรากฏว่าจำเลยรู้ว่าเป็นเท็จในข้อใด คำว่า "หรือมิได้มีการกระทำผิดอาญาเกิดขึ้น" ก็เป็นคำกล่าวอย่างกว้างๆ ไม่แน่ชัดว่าเหตุที่ไม่มีการกระทำผิดเกิดขึ้นนั้นเป็นเพราะไม่มีการกระทำหรือว่าเป็นเพราะการกระทำนั้นไม่เป็นผิดอาญาทั้งมีคำว่า "หรือ" ประกอบอยู่ในฟ้อง ซึ่งเป็นถ้อยคำที่แสดงถึงการไม่ยืนยันให้แน่ชัด ฟ้องโจทก์เช่นนี้ย่อมไม่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5)<br />
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยไปแจ้งความเท็จหาว่าโจทก์ลักทรัพย์เป็นเหตุให้เจ้าพนักงานจับโจทก์ไปควบคุมไว้ ขอให้ลงโทษจำเลยฐานทำให้เสื่อมเสียอิสระภาพนั้น การที่โจทก์ถูกจับกุมและถูกควบคุมตัวดังที่กล่าวในฟ้อง ย่อมเป็นหน้าที่ของเจ้าพนักงานซึ่งจะเห็นสมควรปฏิบัติต่อโจทก์อย่างใดตามควรแก่กรณี เพียงแต่พิจารณาฟ้อง ก็ยกฟ้องได้แล้ว เพราะตามที่บรรยายในฟ้องจำเลยยังไม่มีความผิดฐานนี้<br />
10.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7/2516<br />
เอกสารที่บุคคลผู้มีอำนาจหน้าที่กระทำได้ ได้ทำขึ้นนั้น แม้ข้อความในเอกสารนั้นจะไม่ตรงกับความจริง ก็หาเป็นความผิดฐานปลอมเอกสารไม่<br />
จำเลยไปแจ้งต่อพนักงานสอบสวนว่า โจทก์ยักยอกทรัพย์ จนโจทก์ถูกพนักงานสอบสวนกักขัง ก็เป็นเรื่องที่พนักงานสอบสวนใช้ดุลพินิจว่าจะกักขังโจทก์หรือไม่ จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานทำให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพในร่างกาย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 310<br />
11.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3925/2531<br />
คดีก่อนโจทก์ฟ้องอ้างว่าจำเลยผิดสัญญาซื้อขายถ้วยแก้วขอให้บังคับจำเลยคืนเงินมัดจำและค่าเสียหายที่โจทก์ต้องไปซื้อถ้วยแก้วจากผู้อื่นแพงขึ้น ส่วนคดีนี้โจทก์ฟ้องให้จำเลยรับผิดจากการที่โจทก์ต้องชำระเงินตามเช็คที่จำเลยโอนไปให้แก่บุคคลภายนอกและเรียกค่าสินไหมทดแทนจากการที่โจทก์ต้องแต่งตั้งทนายความสู้คดีและต้องรับโทษจำคุกตามคำพิพากษา ซึ่งเป็นคนละเรื่องต่างประเด็นกัน และโจทก์เพิ่งชำระเงินตามเช็คไปหลังจากศาลชั้นต้นในคดีก่อนพิพากษาคดีแล้ว ฟ้องโจทก์จึงไม่เป็นฟ้องซ้อนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173 คำให้การของจำเลยต่อสู้ปฏิเสธฟ้องโจทก์แต่เพียงว่า ฟ้องโจทก์เป็นฟ้องซ้อนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173มิได้ให้การต่อสู้ว่าฟ้องโจทก์เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำตามมาตรา 144 และศาลชั้นต้นได้กำหนดประเด็นข้อพิพาทในชั้นชี้สองสถานไว้ว่าฟ้องโจทก์เป็นฟ้องซ้อนหรือไม่ ดังนั้นศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยปัญหาเรื่องการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำจึงชอบแล้ว จำเลยผิดสัญญาโอนเช็คที่โจทก์จ่ายเป็นประกันการชำระราคาซื้อขายถ้วยแก้วให้บุคคลภายนอก โจทก์ถูกบุคคลภายนอกฟ้องและได้ชำระเงินตามเช็คให้บุคคลภายนอกไปแล้ว ค่าดอกเบี้ยและค่าฤชาธรรมเนียมที่โจทก์ได้จ่ายให้แก่บุคคลภายนอกผู้เป็นโจทก์นั้น โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้องเอากับจำเลยได้ เพราะไม่เป็นค่าเสียหายโดยตรงจากการที่จำเลยผิดสัญญา ความรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนในเรื่องละเมิดเกี่ยวกับการทำให้เสียหายแก่ชื่อเสียงหรือเกียรติคุณนั้น มีแต่เฉพาะการกล่าวหรือไขข่าวแพร่หลายซึ่งข้อความอันฝ่าฝืนความจริงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 423 เท่านั้น โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนในกรณีต้องเสื่อมเสียชื่อเสียงและเกียรติยศเพราะถูกจำคุกตามคำพิพากษา ค่าจ้างทนายความต่อสู้คดีที่โจทก์ผู้สั่งจ่ายถูกผู้ทรงฟ้องไม่ใช่เป็นผลโดยตรงอันเกิดจากการที่จำเลยผิดสัญญาและแม้จะเป็นเรื่องละเมิดก็นับว่าเป็นค่าเสียหายที่ไกลเกินกว่าเหตุ โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกเอาแก่จำเลย<br />
12.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7807/2542<br />
จำเลยเป็นเพียงผู้จำหน่ายเทปเพลงซึ่งเป็นลิขสิทธิ์ของโจทก์ที่มีผู้ทำละเมิดลิขสิทธิ์ของโจทก์โดยได้ทำซ้ำไว้แล้วเท่านั้น แม้การกระทำดังกล่าวจะทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายแก่ชื่อเสียง ประชาชนขาดความเชื่อถือ และโจทก์ได้เสียค่าใช้จ่ายในการโฆษณาเทปเพลงลิขสิทธิ์ของโจทก์เพื่อให้ประชาชนทั่วไปได้รับทราบเป็นเงินจำนวนมากก็ตามแต่ความเสียหายของโจทก์ที่ได้รับจากการกระทำของจำเลยโดยตรงที่สามารถคำนวณเป็นเงินได้คงมีเฉพาะที่โจทก์ต้องขาดประโยชน์จากการที่จำเลยนำเทปเพลงที่ละเมิดลิขสิทธิ์ของโจทก์ออกจำหน่าย อันอาจทำให้การจำหน่ายเทปเพลงของโจทก์ตกต่ำไป 175 ม้วน ซึ่งคิดเป็นเงินที่โจทก์จำหน่ายราคาม้วนละ 90 บาท เป็นเงิน 15,750 บาท ส่วนความเสียหายแก่ชื่อเสียงเกียรติคุณของโจทก์ทำให้ประชาชนไม่เชื่อถือในกิจการของโจทก์นั้นมีไม่มากนัก ค่าเสียหายในส่วนนี้จำนวน 50,000 บาท จึงเหมาะสมแก่พฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งการกระทำละเมิดของจำเลยแล้ว แต่การที่โจทก์ได้จ่ายเงินให้แก่สำนักงานทนายความเพื่อให้ดำเนินคดีแก่จำเลยนั้นเป็นเพียงค่าใช้จ่ายที่โจทก์ต้องจ่ายเพื่อรักษาประโยชน์ในการดำเนินกิจการของโจทก์เท่านั้น มิใช่ค่าเสียหายที่เกิดจากการละเมิดของจำเลยโจทก์ไม่มีสิทธิที่จะเรียกค่าใช้จ่ายส่วนนี้จากจำเลยได้<br />
โจทก์เรียกค่าเสียหายจากจำเลย 100,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยนับแต่วันฟ้องศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษาให้จำเลยชำระค่าเสียหายให้โจทก์ 50,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยนับแต่วันฟ้อง การที่โจทก์อุทธรณ์ขอให้จำเลยชำระค่าเสียหายให้โจทก์ 100,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยนับแต่วันฟ้อง จึงเป็นกรณีที่โจทก์ขอเรียกค่าเสียหายเพิ่มในชั้นอุทธรณ์ 50,000 บาทเท่านั้น โจทก์ต้องเสียค่าขึ้นศาลในชั้นอุทธรณ์ตามทุนทรัพย์เพียง 50,000 บาท รวมค่าขึ้นศาลอนาคตด้วย ฉะนั้น การที่โจทก์เสียค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ในทุนทรัพย์ 100,000 บาท จึงไม่ถูกต้อง ต้องคืนค่าขึ้นศาลส่วนที่เกินแก่โจทก์<br />
13.คำพิพากษาฎีกาที่ 877/2531(ประชุมใหญ่)<br />
พิพากษาว่า การที่ไปเชื่อมสายไฟเอาไฟฟ้ามาใช้ในบ้านถือว่าเป็นความผิดฐานลักทรัพย์เพราะกระแสไฟฟ้าเป็นทรัพย์สินอย่างหนึ่ง แต่ในคดีแพ่งไม่มีปัญหาเมื่อกระแสไฟฟ้าเป็นทรัพย์สินแล้วทำละเมิดก็ถือว่าทำให้เสียหายต่อทรัพย์สิน การที่ขับรถโดยประมาทชนเสาไฟฟ้าของการไฟฟ้าหักล้ม กระแสไฟฟ้าวิ่งลงดินหมด นอกจากเสาไฟฟ้าหักเสียหาย ซึ่งเป็นการเสียหายต่อทรัพย์สินแล้วยังเสียหายต่อกระแสไฟฟ้าซึ่งเป็นทรัพย์สินอีกอย่างหนึ่งด้วย+<br />
<br />
14.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6702/2553<br />
จำเลยรู้อยู่แล้วว่าไม่มีสิทธินำประเด็นที่ถึงที่สุดในคดีแรกมาฟ้องโจทก์ การที่จำเลยรู้อยู่แล้วยังนำคดีมาฟ้องโจทก์ในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันนั้นอีก เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตจงใจทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายต้องเสียค่าใช้จ่ายในการดำเนินการต่อสู้คดีปกป้องสิทธิอันชอบธรรมของตนจากการกระทำอันไม่สุจริตของจำเลย จำเลยจึงเป็นฝ่ายกระทำละเมิดต่อโจทก์และค่าว่าจ้างทนายความเข้าต่อสู้คดีกับจำเลยในเหตุที่จำเลยกระทำละเมิดต่อโจทก์เป็นส่วนหนึ่งของค่าใช้จ่ายที่โจทก์ต้องเสียไปในการปกป้องสิทธิอันชอบธรรมของโจทก์ไม่ให้เสียไปจึงเป็นค่าเสียหายโดยตรงจากการที่จำเลยกระทำละเมิดต่อโจทก์ จำเลยต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายในส่วนนี้BTC Admin http://www.blogger.com/profile/17552179607270050206noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-224978953028537233.post-38785416732208298962017-06-13T20:14:00.001-07:002017-06-13T20:14:23.885-07:00 รู้ไหม? เพื่อนบ้านก่อความรำคาญ ก็ถือว่าผิดกฎหมาย<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://2.bp.blogspot.com/-avVxOZ09P98/WUCqAXWEqAI/AAAAAAABnkw/jlF38eF79-wioBQCG2aMoU1p1ScLNPzRACLcBGAs/s1600/030d9c.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="432" data-original-width="640" height="135" src="https://2.bp.blogspot.com/-avVxOZ09P98/WUCqAXWEqAI/AAAAAAABnkw/jlF38eF79-wioBQCG2aMoU1p1ScLNPzRACLcBGAs/s200/030d9c.jpg" width="200" /></a></div>
อะไรบ้างที่เรียกว่าเป็นการก่อความเดือดร้อน<br /><br />– การเลี้ยงสัตว์ ปัญหาที่ก่อความรำคาญ ได้แก่ เสียง กลิ่น และสัตว์ที่เป็นอันตรายอันติดมากับสัตว์เลี้ยงแล้วแพร่กระจายไปสู่พื้นที่รอบข้างได้ อาทิ เห็บ หมัด เป็นต้น สัตว์เลี้ยงแต่ละชนิดอาจก่อปัญหาเดือดร้อนรำคาญไปสู่เจ้าของอสังหาริมทรัพย์ใกล้เคียงได้ แต่ควรพิจารณาเป็นเรื่อง ๆ ไป สุนัข บางตัวไม่ส่งเสียงก่อความรำคาญ สุนัขบางตัวทำเช่นนั้น แมวบางตัวหากเลี้ยงแบบระบบเปิดอาจขับถ่ายก่อความเดือดร้อนรำคาญ บางตัวไม่เป็นเช่นนั้น หรือหากเลี้ยงสุกรแต่สุกรไม่ส่งเสียงให้เดือดร้อนหรือรำคาญ แต่อาจสร้างกลิ่นอันไม่พึงประสงค์ไปสู่บริเวณรอบข้าง การแก้ปัญหาจึงเป็นไปตามผลที่กระทบ โดยมีตั้งแต่ให้กำจัดสิ่งปฏิกูลเน่าเหม็นและคอยดูแลความสะอาด ไปจนถึงย้ายพื้นเลี้ยงดู เพื่อไม่เป็นการละเมิดต่อสิทธิของโจทก์อีกต่อไป<br />
<a name='more'></a><br /><br />และอะไรบ้างที่เป็นเหตุให้เกิดความรำคาญ<br /><br />มาตรา 25 ในกรณีที่มีเหตุอันอาจก่อให้เกิดความเดือนร้อนแก่ผู้อยู่อาศัยในบริเวณใกล้เคียง หรือผู้ที่ต้องประสบกับเหตุนั้นดังต่อไปนี้ ให้ถือว่าเป็นเหตุรำคาญ<br /><br />(1) แหล่งน้ำ ทางระบายน้ำ ที่อาบน้ำ ส้วม หรือที่ใส่มูลหรือเถ้า หรือสถานที่อื่นใด<br />ซึ่งอยู่ในทำเลไม่เหมาะสม สกปรก มีการสะสมหรือหมักหมมสิ่งของมีการเททิ้งสิ่งใดเป็นเหตุ<br />ให้มีกลิ่นเหม็นหรือละอองเป็นพิษ หรือเป็นหรือน่าจะเป็นที่เพาะพันธุ์พาหะนำโรค หรือก่อให้เกิด<br />ความเสื่อมหรืออาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ<br />(2) การเลี้ยงสัตว์ในที่หรือโดยวิธีใด หรือมีจำนวนเกินสมควร จนเป็นเหตุให้เสื่อม<br />หรืออาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ622 แนวทางการปฏิบัติพระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ. 2535<br />ศูนย์บริหารกฎหมายสาธารณสุข กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข<br />(3) อาคารอันเป็นที่อยู่ของคนหรือสัตว์ โรงงานหรือสถานที่ประกอบการใดไม่มีการ<br />ระบายอากาศ การระบายน้ำ การกำจัดสิ่งปฏิกูล หรือการควบคุมสารเป็นพิษ หรือมีแต่ไม่มีการ<br />ควบคุมให้ปราศจากกลิ่นเหม็นหรือละอองสารเป็นพิษอย่างพอเพียงจนเป็นเหตุให้เสื่อมหรืออาจเป็น<br />อันตรายต่อสุขภาพ<br />(4) การกระทำใดๆ อันเป็นเหตุให้เกิดกลิ่น แสง รังสี เสียง ความร้อน สิ่งมีพิษ<br />ความสั่นสะเทือน ฝุ่น ละออง เขม่า เถ้า หรือกรณีอื่นใด จนเป็นเหตุให้เสื่อมหรืออาจเป็น<br />อันตรายต่อสุขภาพ<br />(5) เหตุอื่นใดที่รัฐมนตรีกำหนดโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา<br /><br />โดยสามารถระงับเหตุเดือดร้อนรำคาญได้อย่างไรกันบ้าง<br /><br />มาตรา 26 ให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นมีอำนาจห้ามผู้หนึ่งผู้ใดมิให้ก่อเหตุรำคาญในที่ หรือทางสาธารณะ หรือสถานที่เอกชนรวมทั้งการระงับเหตุรำคาญด้วย ตลอดทั้งการดูแล ปรับปรุงบำรุงรักษาบรรดาถนน ทางบก ทางน้ำ รางระบายน้ำ คู คลอง และสถานที่ต่างๆ ในเขตของตนให้ปราศจากเหตุรำคาญ ในการนี้ ให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นมีอำนาจออกคำสั่งเป็นหนังสือเพื่อระงับกำจัดและควบคุมเหตุรำคาญต่างๆ ได้<br /><br />มาตรา 27 ในกรณีที่มีเหตุรำคาญเกิดขึ้นหรืออาจเกิดขึ้นในที่หรือทาง สาธารณะให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นมีอำนาจออกคำสั่งเป็นหนังสือให้บุคคลซึ่งเป็นต้นเหตุหรือเกี่ยวข้องกับการก่อหรืออาจก่อให้เกิดเหตุรำคาญนั้น ระงับหรือป้องกันเหตุรำคาญภายในเวลาอันสมควรตามที่ระบุไว้ในคำสั่ง และถ้าเห็นสมควรจะให้กระทำโดยวิธีใดเพื่อระงับหรือป้องกันเหตุรำคาญนั้น หรือสมควรกำหนดวิธีการเพื่อป้องกันมิให้มีเหตุรำคาญเกิดขึ้นอีกในอนาคต ให้ระบุไว้ในคำสั่งได้ในกรณีที่ปรากฏแก่เจ้าพนักงานท้องถิ่นว่าไม่มีการปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้าพนักงานท้องถิ่น ตามวรรคหนึ่ง และเหตุรำคาญที่เกิดขึ้นอาจเกิดอันตรายอย่างร้ายแรงต่อสุขภาพ ให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นระงับเหตุรำคาญนั้น และอาจจัดการตามความจำเป็นเพื่อป้องกันมิให้เกิดเหตุรำคาญนั้นขึ้นอีกโดยบุคคลซึ่งเป็นต้นเหตุ หรือเกี่ยวข้องกับการก่อหรืออาจก่อให้เกิดเหตุรำคาญต้องเป็นผู้เสียค่าใช้จ่ายสำหรับการจัดการนั้น<br /><br />มาตรา 28 ในกรณีที่มีเหตุรำคาญเกิดขึ้นในสถานที่เอกชน ให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นมีอำนาจออกคำสั่งเป็นหนังสือให้เจ้าของหรือผู้ครอบครองสถานที่นั้นระงับเหตุรำคาญภายในเวลาอันสมควรตามที่ระบุไว้ในคำสั่ง และถ้าเห็นว่าสมควรจะให้กระทำโดยวิธีใดเพื่อระงับเหตุรำคาญนั้นหรือสมควรกำหนดวิธีการเพื่อป้องกันมิให้มีเหตุรำคาญเกิดขึ้นในอนาคตให้ระบุไว้ในคำสั่งได้<br />ในกรณีที่ไม่มีการปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้าพนักงานท้องถิ่นตามวรรคหนึ่ง ให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นมีอำนาจระงับเหตุรำคาญนั้นและอาจจัดการตามความจำเป็นเพื่อป้องกันมิให้มีเหตุรำคาญพระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ. 2535 623 กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ส่วนที่ 5เกิดขึ้นอีก และถ้าเหตุรำคาญเกิดขึ้นจากการกระทำการละเลย หรือการยินยอมของเจ้าของหรือผู้ครอบครองสถานที่นั้น เจ้าของหรือผู้ครอบครองสถานที่ดังกล่าวต้องเป็นผู้เสียค่าใช้จ่ายสำหรับการนั้นในกรณีที่ปรากฏแก่เจ้าพนักงานท้องถิ่นว่าเหตุรำคาญที่เกิดขึ้นในสถานที่ เอกชนอาจเกิดอันตรายอย่างร้ายแรงต่อสุขภาพ หรือมีผลกระทบต่อสภาวะความเป็นอยู่ที่เหมาะสมกับการดำรงชีพของประชาชน เจ้าพนักงานท้องถิ่นจะออกคำสั่งเป็นหนังสือ ห้ามมิให้เจ้าของหรือผู้ครอบครองใช้หรือยินยอมให้บุคคลใดใช้สถานที่นั้นทั้งหมดหรือบางส่วน จนกว่าจะเป็นที่พอใจแก่เจ้าพนักงานท้องถิ่นว่า ได้มีการระงับเหตุรำคาญนั้นแล้วก็ได้<br />หมวด 6การควบคุมการเลี้ยงหรือปล่อยสัตว์<br /><br />มาตรา 29 เพื่อประโยชน์ในการรักษาสภาวะความเป็นอยู่ที่เหมาะสม กับการดำรงชีพของประชาชนในท้องถิ่นหรือเพื่อป้องกันอันตรายจากเชื้อโรคที่เกิดจากสัตว์ ให้ราชการส่วนท้องถิ่นมีอำนาจออกข้อกำหนดของท้องถิ่นกำหนดให้ส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดของพื้นที่ในเขตอำนาจของราชการส่วนท้องถิ่นนั้น เป็นเขตควบคุมการเลี้ยงหรือปล่อยสัตว์ได้การออกข้อกำหนดของท้องถิ่น ตามวรรคหนึ่ง ราชการส่วนท้องถิ่นอาจกำหนดให้เป็นเขตห้ามเลี้ยงหรือปล่อยสัตว์บางชนิดหรือบางประเภทโดยเด็ดขาด หรือไม่เกินจำนวนที่กำหนดหรือเป็นเขตที่การเลี้ยงหรือปล่อยสัตว์บางชนิดหรือบางประเภทต้องอยู่ในภายใต้มาตรการอย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้<br /><br />มาตรา 30 ในกรณีที่เจ้าพนักงานท้องถิ่นพบสัตว์ในที่หรือทางสาธารณะอันเป็นการฝ่าฝืนมาตรา 29 โดยไม่ปรากฏเจ้าของ ให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นมีอำนาจกักสัตว์ดังกล่าวไว้เป็นเวลาอย่างน้อยสามสิบวัน เมื่อพ้นกำหนดแล้วยังไม่มีผู้ใดมาแสดง หลักฐานการเป็นเจ้าของเพื่อรับสัตว์คืน ให้สัตว์นั้นตกเป็นของราชการส่วนท้องถิ่น แต่ถ้าการ กักสัตว์ไว้อาจก่อให้เกิดอันตรายแก่สัตว์นั้นหรือสัตว์อื่น หรือต้องเสียค่าใช้จ่ายเกินสมควร เจ้าพนักงานท้องถิ่นจะจัดการขายหรือขายทอดตลาดสัตว์นั้นตามควรแก่กรณีก่อนถึงกำหนดเวลาดังกล่าวก็ได้ เงินที่ได้จากการขายหรือขายทอดตลาดเมื่อได้หักค่าใช้จ่ายในการขายหรือขายทอดตลาดและค่าเลี้ยงดูสัตว์แล้วให้เก็บรักษาไว้แทนสัตว์624 แนวทางการปฏิบัติพระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ. 2535ศูนย์บริหารกฎหมายสาธารณสุข กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุขในกรณีที่มิได้มีการขายหรือขายทอดตลาดสัตว์ตามวรรคหนึ่ง และเจ้าของสัตว์มาขอรับสัตว์คืนภายในกำหนดเวลาตามวรรคหนึ่ง เจ้าของสัตว์ต้องเป็นผู้เสียค่าใช้จ่ายสำหรับการเลี้ยงดูสัตว์ให้แก่ราชการส่วนท้องถิ่นตามจำนวนที่ได้จ่ายจริงด้วยในกรณีที่ปรากฏว่าสัตว์ที่เจ้าพนักงานท้องถิ่นพบนั้นเป็นโรคติดต่ออันอาจเป็นอันตรายต่อประชาชนให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นมีอำนาจทำลายหรือจัดการตามที่เห็นสมควรได้<br /><br />หมวด 7<br />กิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ<br /><br />มาตรา 31 ให้รัฐมนตรีโดยคำแนะนำของคณะกรรมการมีอำนาจประกาศในราชกิจจานุเบกษากำหนดให้กิจการใดเป็นกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ<br /><br />มาตรา 32 เพื่อประโยชน์ในการกำกับดูแลการประกอบกิจการที่ประกาศตามมาตรา 31 ให้ราชการส่วนท้องถิ่นมีอำนาจออกข้อกำหนดของท้องถิ่นดังต่อไปนี้<br />(1) กำหนดประเภทของกิจการตามมาตรา 31 บางกิจการหรือทุกกิจการให้เป็นกิจการ<br />ที่ต้องมีการควบคุมภายในท้องถิ่นนั้น<br />(2) กำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขทั่วไปสำหรับให้ผู้ดำเนินกิจการตาม (1) ปฏิบัติเกี่ยวกับการดูแลสภาพหรือสุขลักษณะของสถานที่ที่ใช้ดำเนินกิจการและมาตรการป้องกันอันตรายต่อสุขภาพ<br /><br />มาตรา 33 เมื่อพ้นกำหนดเก้าสิบวันนับแต่วันที่ข้อกำหนดของท้องถิ่น ตามมาตรา 32(1)ใช้บังคับ ห้ามมิให้ผู้ใดดำเนินกิจการตามประเภทที่มีข้อกำหนดของท้องถิ่นกำหนดให้เป็นกิจการที่ต้องมีการควบคุมตามมาตรา 32(1) ในลักษณะที่เป็นการค้า เว้นแต่จะได้รับใบอนุญาตจากเจ้าพนักงานท้องถิ่นตาม มาตรา 56ในการออกใบอนุญาตตามวรรคหนึ่งเจ้าพนักงานท้องถิ่นอาจกำหนดเงื่อนไขโดยเฉพาะให้ผู้รับใบอนุญาตปฏิบัติเพื่อป้องกันอันตรายต่อสุขภาพของสาธารณชนเพิ่มเติมจากที่กำหนดไว้โดยทั่วไปในข้อกำหนดของท้องถิ่นตามมาตรา 32(2) ก็ได้ใบอนุญาตตามวรรคหนึ่งให้ใช้ได้สำหรับกิจการประเภทเดียวและสำหรับสถานที่แห่งเดียว<br />BTC Admin http://www.blogger.com/profile/17552179607270050206noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-224978953028537233.post-25820957056429795982016-12-18T20:25:00.002-08:002016-12-18T20:25:25.944-08:00ข้อควรรู้ก่อนไปแจ้งความ <div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://2.bp.blogspot.com/-G0hlgGpDokM/WFdhGtjjQNI/AAAAAAABj4o/brfnC5JG13gxtFVFmsWkVXO7WjF5RqyYgCLcB/s1600/copy-1.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="320" src="https://2.bp.blogspot.com/-G0hlgGpDokM/WFdhGtjjQNI/AAAAAAABj4o/brfnC5JG13gxtFVFmsWkVXO7WjF5RqyYgCLcB/s320/copy-1.jpg" width="212" /></a></div>
<br />
เมื่อมีปัญหาถูกรังแกเมื่อไหร่ ก็มักไปแจ้งความ แต่เอะอะจะไปแจ้งความไว้ก่อนไม่ได้ เพราะตำรวจอาจไม่รับเรื่องไว้เพราะสถานีตำรวจไม่ใช่ศูนย์กลางบำบัดความเดือดร้อนทุกเรื่อง<br />
<br />
การแจ้งความก็ต้องมีเป้าหมายเพื่อให้ตำรวจดำเนินการต่อผู้กระทำความผิดทางอาญา เป็นต้นว่า ถูกลักทรัพย์ บ้านถูกงัด ถูกทำร้าย หรือถูกโกงเสียเงินเสียทองไป ตำรวจก็จะทำการสอบสวนหรือสืบสวน แล้วก็จัดการกับคนกระทำหรือสงสัยว่ากระทำความผิดนั้นให้กับเรา<br />
<a name='more'></a><br />
<br />
การแจ้งความจึงไม่จำเป็นว่าเราจะรู้กฎหมายลึกว่า เป็นความผิดข้อหาอะไร ตำรวจจะปรับบทกฎหมายให้เบ็ดเสร็จ คนแจ้งเพียงแต่ต้องรู้ว่าเป็นเรื่องทางอาญา ไม่ใช่เรื่องทางแพ่ง<br />
<br />
แล้วจะรู้ได้อย่างไรในเมื่อไม่ได้จบกฎหมายมา เอาเป็นว่าถ้าเข้าใจในเบื้องต้นได้ว่าการที่ได้รับความเสียหายนี้น่าจะมีความผิดทางอาญา ก็ไปหาตำรวจแล้วแจ้งความได้เลย<br />
<br />
การแจ้งความตามปกติจะต้องเป็น “ผู้เสียหาย” หากธุระไม่ใช่จะไปแจ้งความก็สามารถทำได้ โดยกฎหมายใช้คำว่า “กล่าวโทษ”<br />
<br />
แบบนี้ก็คือ เมื่อเราประสบเหตุการณ์อันเกิดจากการกระทำอันเป็นความผิดแล้ว ก็ต้องแจ้งให้ตำรวจทราบ เช่น มีการฆ่ากันตาย มีการปล้นร้านทอง มีคนโดดจากคอนโดชั้น 20 ลงมา เป็นต้น<br />
<br />
ส่วนการแจ้งความที่เราคุ้นเคย กฎหมายเรียกว่า “ร้องทุกข์” ตำรวจก็จะฟังว่าสิ่งที่คุณกำลังร้องนั้นมันเป็นทุกข์ในเรื่องทางอาญาหรือไม่ และคุณคือคนที่เป็นทุกข์หรือไม่<br />
<br />
นอกจากตัวผู้เสียหายที่ร้องทุกข์ได้แล้ว พ่อแม่ ลูก หรือคู่สมรส ก็สามารถร้องทุกข์แทนได้เฉพาะในกรณีที่ผู้เสียหายถูกทำร้ายบาดเจ็บจนไม่สามารถไปแจ้งความเองได้ หรือไม่อยากไปบากหน้าหรือเสียเวลาขึ้นโรงพัก ก็ไม่ต้องไปเองก็ได้ สามารถมอบอำนาจให้คนอื่นไปร้องทุกข์แทนได้เหมือนกัน<br />
<br />
การแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษเป็นขั้นตอนที่จะให้ตำรวจดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิด อย่างที่ว่าไว้ เราไม่จำเป็นต้องแจ้งข้อหาก็ได้ เล่าเรื่องเล่าราวให้ตำรวจฟังก็พอ แต่ก็ไม่ต้องระบุตัวผู้กระทำความผิดก็ได้หากไม่แน่ใจว่าใครทำ<br />
<br />
มีคนโรคจิตโทรมาบ้าเซ็กส์ใส่ หรือมีคนโทรมาขู่จะทำร้าย ฟังเสียงคล้ายใครแต่ไม่รู้ใช่หรือไม่ก็ร้องทุกข์แจ้งความไปว่าในระหว่างนี้มีเรื่องพิพาทบาดหมางอยู่กับใครหรือไม่อย่างไร ก็ทำได้ไม่เสี่ยงต่อการถูกเล่นงานกลับเพราะเป็นการให้ข้อมูลตำรวจ<br />
<br />
ถ้าเราเข้าใจและมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าคนนี้ที่ทำผิดต่อเราก็บอกตำรวจเขาไปได้ แต่ถ้าไม่แน่ใจเท่าไหร่แต่เหมาเอาเองส่งเดช ก็จะเป็นเหตุให้คนคนนั้นเอาเรื่องกลับเราได้ในข้อหาแจ้งความเท็จ <br />
<br />
ทีนี้ เราเองอาจต้องการให้ตำรวจช่วยเหลือเราในกรณีอื่นที่ไม่ได้เป็นความผิดทางอาญา ก็จะเป็นการแจ้งความที่มิใช่เพื่อการเอาโทษเอาความกับใคร<br />
<br />
ของหายไม่รู้อยู่ไหน จะไปออกบัตรใหม่เพราะทำบัตรประชาชนหาย หรือโฉนดไม่รู้อยู่ไหนจะโอนขายที่ก็ทำไม่ได้ สามารถแจ้งความของหายได้ ตำรวจก็จะลงบันทึกให้แล้วนำหลักฐานการแจ้งความของหายไปแสดงต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อออกเอกสารใหม่แทน<br />
<br />
เราอาจต้องการหลักฐานกันตัวเองไว้ก่อน เช่น อดีตภรรยาไม่ยอมส่งมอบลูกให้ตามสัญญาหย่า จึงมาแจ้งความเป็นหลักฐานไว้ หรือถูกแม่สามีขับไล่ออกไปจากบ้านไม่ได้ทอดทิ้งสามีออกมา จึงมาแจ้งความไว้เป็นหลักฐาน ตำรวจก็จะทำการบันทึกไว้ให้ ทำได้เหมือนกัน<br />
<br />
ก่อนไปแจ้งความต้องทำอะไรบ้าง<br />
คำแนะนำในการไปติดต่อสถานีตำรวจ<br />
เพื่อความสะดวกรวดเร็วและถูกต้องตามกฎหมายและระเบียบของทางราชการ<br />
เมื่อท่านไปติดต่อที่สถานีตำรวจ ท่านควรเตรียมเอกสารต่างๆ ที่จำเป็นติดตัวไปด้วยคือ<br />
1. บัตรประจำตัวประชาชน หรือ ใบแทนฯ หรือ<br />
2. บัตรประจำตัวข้าราชการ หรือ<br />
3. ใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว หรือ<br />
4. หนังสือเดินทาง (PASSPORT) สำหรับชาวต่างประเทศที่เดินทางเข้ามาภายในประเทศ<br />
5. สำเนาทะเบียนบ้าน<br />
6. ในกรณีที่ท่านจะไปร้องทุกข์ (แจ้งความ) โดยเป็นตัวแทนของผู้อื่นให้นำ หลักฐานต่างๆ ดังนี้ติดตัวไปด้วย<br /> 6.1 ใบสำคัญแสดงการเป็นผู้แทนโดยชอบธรรมของผู้เยาว์<br /> 6.2 ใบสำคัญแสดงการเป็นผู้อนุบาลของผู้ไร้ความสามารถ (ตามคำสั่งศาล)<br /> 6.3 ในกรณีที่ผู้เสียหายถูกทำร้ายถึงตายหรือบาดเจ็บจนไม่สามารถจัดการเองได้<br /> ให้ท่านนำหลักฐานซึ่งแสดงว่าท่านเป็นบุพการีหรือผู้สืบสันดานหรือสามีภรรยา (ซึ่งได้จดทะเบียนบ้าน, สูติบัตร,ใบทะเบียนสมรส ฯลฯ) มาแสดงต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ<br /> 6.4 ใบสำคัญแสดงการอนุญาตของสามีและภรรยาแล้วแต่กรณี ให้ร้องทุกข์แทนหรือเป็นตัวแทนโดยสมบูรณ์<br /> 6.5 ในกรณีที่เป็นผู้แทนของนิติบุคคลให้นำ<br />(1) หนังสือมอบอำนาจของนิติบุคคลเป็นหลักฐานทั้งติดอากรแสดมป์ 5 บาท<br />(2) หนังสือรับรองนิติบุคคลนั้นของกระทรวงพาณิชย์<br />
<br />
<br />สรุปข้อควรจำ<br />
<br />
ลงบันทึกประจำวัน คือ การลงบันทึกแล้วจบ<br />
แจ้งไว้เป็นหลักฐาน คือ การลงบันทึกแล้วจบ<br />
ขอดำเนินคดี คือ การแจ้งความเพื่อให้ตำรวจดำเนินคดี<br />
<div>
<br /></div>
<div>
<br /></div>
<div>
<br /></div>
<div>
<br /></div>
BTC Admin http://www.blogger.com/profile/17552179607270050206noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-224978953028537233.post-89572247546838260552016-08-04T18:36:00.001-07:002016-08-04T18:36:31.480-07:00ทำอย่างไรเมื่อต้องการประกันตัว<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://2.bp.blogspot.com/-Y9e-_Is-1vk/V6Ptj4jRhvI/AAAAAAABdZM/xvz9vwcOh-ANQiqbZ9TdaGlXMBajMwy-wCLcB/s1600/34d216a60937be10a7223474bdf6c5ab.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="213" src="https://2.bp.blogspot.com/-Y9e-_Is-1vk/V6Ptj4jRhvI/AAAAAAABdZM/xvz9vwcOh-ANQiqbZ9TdaGlXMBajMwy-wCLcB/s320/34d216a60937be10a7223474bdf6c5ab.jpg" width="320" /></a></div>
<br />
การขอประกันตัวผู้ต้องหาหรือจำเลยต่อศาล<br />
1.การขอประกันตัวคืออะไร?<br />
การขอประกันตัว คือ การขออนุญาตให้ผู้ต้องหาหรือจำเลยพ้นจากการควบคุมของเจ้าพนักงานหรือศาลตามระยะเวลาที่กำหนดเพื่อไม่ให้ผู้ต้องหาหรือจำเลยถูกควบคุมหรือขังเป็นเวลานานเกินกว่าความจำเป็นในระหว่างการสอบสวนหรือการพิจารณาคดี เพราะหากไม่มีความจำเป็นต้องควบคุมก็ควรที่จะได้รับการปล่อยชั่วคราวไป อันเป็นการปฏิบัติตามหลักการของรัฐธรรมนูญ ที่ต้องสันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้ต้องหาหรือจำเลยไม่มีความผิด และก่อนมีคำพิพากษาอันถึงที่สุดแสดงว่าบุคคลใดเป็นผู้กระทำความผิดจะปฏิบัติต่อบุคคลนั้นเสมือนเป็นผู้กระทำผิดมิได้<br />
<br />
<a name='more'></a><br /><br />
2.การขอประกันตัวผู้ต้องหาหรือจำเลยต่อศาลจะทำได้ในชั้นใดบ้าง?<br />
การขอประกันตัวผู้ต้องหาหรือจำเลยต่อศาลจะทำได้ดังนี้.-<br />
2.1 การขอประกันตัวระหว่างชั้นฝากขังทำได้เมื่อผู้ต้องหาถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจหรือพนักงานอัยการนำตัวมาขออนุญาตศาลฝากขังระหว่างที่ยังสอบสวนไม่เสร็จ ผู้ต้องหามีสิทธิยื่นขอประกันตัวต่อศาล<br />
2.2 การขอประกันตัวชั้นพิจารณาคดีของศาลชั้นต้นทำได้เมื่อผู้ต้องหาถูกพนักงานอัยการฟ้องต่อศาลแล้วก็จะเปลี่ยนฐานะจากผู้ต้องหาเป็นจำเลย จำเลยมีสิทธิขอประกันตัวต่อศาลได้ ในคดีที่ราษฎรเป็นโจทก์ เมื่อศาลประทับฟ้องแล้ว จำเลยจะยื่นขอประกันตัวก่อนวันนัดหรือในวันนัดที่ระบุในหมายเรียกให้มาแก้คดีก็ได้<br />
2.3 การขอประกันตัวชั้นอุทธรณ์หรือฎีกา เมื่อมีกรณีที่จำเลยถูกขังหรือจำคุก โดยผลของคำพิพากษาศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ หรือศาลอุทธรณ์ภาค จำเลยอาจยื่นขอประกันตัวก่อนที่จะยื่นอุทธรณ์ หรือยื่นฎีกา หรือจะยื่นขอประกันตัวพร้อมกันหรือาหลังจากยื่นอุทธรณ์ หรือยื่นฎีกาก็ได้ การขอประกันตัวดังกล่าวให้ยื่นต่อศาลชั้นต้น ที่พิพากษาคดี หรืออาจยื่นต่อศาลอุทธรณ์ หรือศาลอุทธรณ์ภาค หรือศาลฎีกา แล้วแต่กรณี<br />
ทั้งนี้ การประกันตัวในชั้นใดก็จะใช้ได้ในชั้นนั้น เมื่อชั้นของการของประกันตัวเปลี่ยนไปก็ต้องยื่นขอประกันตัวใหม่<br />
3.การขอประกันตัวเป็นเรื่องยุ่งยากหรือไม่?<br />
คนส่วนใหญ่จะเข้าใจว่าการติดต่อขอประกันตัวเป็นเรื่องยุ่งยากซับซ้อนจนต้องอาศัยนายประกันอาชีพช่วยจัดการให้ ซึ่งการกระทำดังกล่าวจะทำให้เสียค่าใช้จ่ายสูงและอาจถูกหลอกลวงได้ ปัจจุบันศาลยุติธรรมได้จัดเจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ไว้ทำหน้าที่ให้ความช่วยเหลือตั้งแต่ให้คำแนะนำในขั้นตอนการขอประกันและแนะนำวิธีการเขียนคำร้องขอประกันตัว ผู้ขอประกันตัวตอิดต่อขอคำแนะนำและทำคำขอประกันตัวผู้ต้องหาหรือจำเลยด้วยตนเองได้ทุกขั้นตอน ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์จะแนะนำวิธีปฏิบัติที่ถูกต้องโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายหรือค่าธรรมเนียมแต่อย่างใด<br />
4.ใครบ้างมีสิทธิยื่นคำร้องขอประกันตัว?<br />
4.1 ผู้ต้องหาหรือจำเลย<br />
4.2 ผู้มีประโยชน์เกี่ยวข้อง เช่น บุพการี ผู้สืบสันดาน สามี ภริยา ญาติพี่น้อง ผู้บังคับบัญชา นายจ้าง บุคคลที่เกี่ยวพันโดยทางสมรส บุคคลที่ศาลเห็นว่ามีความสัมพันธ์ใกล้ชิดเสมือนเป็นญาติพี่น้องหรือมีความสัมพันธ์ในทางอื่นที่ศาลเห็นสมควรให้ประกันได้ หรือนิติบุคคล (เช่น บริษัท ห้างหุ้นส่วนจำกัด) สำหรับกรณีผู้ต้องหาหรือจำเลยเป็นกรรมการ ผู้แทน ตัวแทน หุ้นส่วน พนักงานหรือลูกจ้างของนิติบุคคลนั้น<br />
5.การปล่อยชั่วคราวมีกี่ประเภท?<br />
การที่ศาลอนุญาตให้ประกันตัวหรืออนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวแบ่งได้เป็น 3 ประเภทา ได้แก่ <br />
5.1 การปล่อยชั่วคราวโดยไม่มีประกัน คือ การปล่อยตัวชั่วคราวโดยไม่ต้องทำสัญญาประกันและไม่ต้องมีหลักประกันแต่อย่างใด เพียงแต่ให้ผู้ต้องหาหรือจำเลยสาบานหรือปฏิญาณตนว่าจะมาตามนัดหรือหมายเรียกเท่านั้น<br />
5.2 การปล่อยชั่วคราวโดยมีประกัน คือ การปล่อยตัวชั่วคราวโดยผู้ขอประกัน ต้องทำสัญญาประกันต่อศาลว่าจะปฏิบัติตามนัดหรือหมายเรียกของศาลซึ่งให้ปล่อยชั่วคราว ถ้าผู้ต้องหาหรือจำเลยไม่มาตามกำหนด ผู้ขอประกันจะถูกปรับตามจำนวนเงินที่กำหนดไว้ในสัญญาประกัน ตลอดจนอาจมัการกำหนดเงื่อนไขในสัญญาประกันนั้น<br />
5.3 การปล่อยชั่วคราวโดยมีประกันและหลักประกัน คือ การปล่อยตัวชั่วคราวโดยมีสัญญาว่าผู้ต้องหาหรือจำเลยจะมาตามที่กำหนดในสัญญาหรือตามหมายเรียก และมีการวางหลักประกันไว้เพื่อที่จะบังคับเอากับหลักประกันเมื่อมีการผิดสัญญา<br />
6.การยื่นคำร้องขอประกันตัว ผู้ขอประกันจะต้องเตรียมเอกสารอะไรบ้าง?<br />
ในการติดต่อขอประกันตัวผู้ต้องหาหรือจำเลย ผู้ขอประกันจะต้องยื่นคำร้องขอประกันตัว พร้อมด้วยเอกสารและหลักประกันประกอบคำร้องดังกล่าว โดยนำต้นฉบับเอกสารพร้อมสำเนามายื่นต่อเจ้าหน้าที่เพื่อตรวจสอบความถูกต้อง และเสนอต่อศาลเพื่อมีคำสั่งต่อไป ซึ่งเอกสารในการประกอบคำร้องขอประกันตัวมีดังนี้.-<br />
6.1 บัตรประจำตัวประชาชนหรือบัตรประจำตัวเจ้าหน้าที่ของรัฐ <br />
6.2 ทะเบียนบ้าน<br />
6.3 กรณีผู้ขอประกันมีคู่สมรสจะต้องแสดงเอกสารเพิ่มเติม ได้แก่<br />
6.3.1 บัตรประกันตัวประชาชนหรือบัตรประจำตัวเจ้าหน้าที่ของรรัฐและทะเบียนบ้านของคู่สมรส<br />
6.3.2 ใบสำคัญสมรส<br />
6.3.3 หนังสือให้ความยินยอมของคู่สมรส<br />
6.4 กรณีชื่อเจ้าของหลักทรัพย์ไม่ตรงกับที่ปรากฎในหลักทรัพย์จะต้องแสดงเอกสารเพิ่มเติมได้แก่<br />
6.4.1 หนังสือรับรองว่าเป็นบุคคลเดียวกัน หรือ<br />
6.4.2 หลักฐานการเปลี่ยนชื่อตัว ชื่อสกุล<br />
6.4.3 ใบสำคัญการสมรส<br />
6.5 กรณีผู้ต้องหาหรือจำเลยเป็นชาวต่างประเทศ หากมีหนังสือเดินทาง (Passport) ต้องนำมาแสดงด้วย<br />
หากเอกสารที่ต้องนำมาในวันยื่นคำร้องขอประกันตัวไม่ครบถ้วน ผู้ขอประกันอาจขอผัดผ่อนต่อศาลเพื่อพิจารณาอนุญาตให้นำมาส่งในภายหลังได้<br />
7.หลักประกันใดบ้างที่สามารถใช้ประกันตัวผู้ต้องหาหรือจำเลยได้?<br />
7.1 เงินสด<br />
7.2 หลักทรัพย์อื่น เช่น<br />
7.2.1 โฉนดที่ดิน หนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3 ก. หรือ น.ส.3)<br />
7.2.2 พันธบัตรรัฐบาล สลากออมสิน บัตรหรือสลากออมทรัพย์ทวีสินของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ตั๋วแลกเงินที่ธนาคารเป็นผู้จ่ายและธนาคารผู้จ่ายได้รับรองตลอดไปแล้ว ตั๋วสัญญาใช้เงินที่ธนาคารเป็นผู้ออกตั๋ว หรือเช็คที่ธนาคารเป็นผู้สั่งจ่าย (แคชเชียร์เช็ค) หรือเช็คที่ธนาคารรับรองแล้ว<br />
7.2.3 สมุดเงินฝากประจำหรือใบรับเงินฝากประจำของธนาคาร<br />
7.2.4 หนังสือค้ำประกันหรือหนังสือรับรองของธนาคาร<br />
7.2.5 หนังสือรับรองของบริษัทประกันภัย<br />
7.2.6 ในบางกรณีอาจใช้หลักประกันต่อไปนี้ได้<br />
(1) ทะเบียนรถยนต์หรือทะเบียนรถจักรยานยนต์<br />
(2) ภ.บ.ท.5 ส.ค.1 น.ส.2 หรือ สปก.<br />
(3) บ้านพักอาศัย<br />
(4) หลักทรัพย์ที่ติดจำนองหรือมีภาระติดพัน<br />
7.3 บุคคลเป็นหลักประกันโดยแสดงหลักทรัพย์ <br />
7.4 ส่วนราชการ ตามระเบียบกระทรวงการคลัง ว่าด้วยการช่วยเหลือข้าราชการหรือลูกจ้างของทางราชการที่ต้องหาคดีอาญา<br />
7.5 เป็นข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ ข้าราชการการเมืองหรือนายความ (ใช้ตำแหน่งเป็นหลักประกัน เฉพาะตนเองหรือญาติใกล้ชิด) โดยสามรรถทำสัญญาประกันได้ในวงเงินไม่เกิน 10 เท่าของอัตราเงินเดือนหรือรายได้เฉลี่ยต่อเดือน<br />
7.6 ผู้ประกอบวิชาชีพ เช่น แพทย์ เภสัชกร พยาบาล วิศวกร สถาปนิก ผู้สอบบัญชี ครู ผู้ประกอบวิชาชีพด้านสื่อสารมวลชนฯ เมื่อตกเป็นผู้ต้องหาหรือจำเลย อาจใช้ตนเองเป็นหลักประกันได้ สำหรับกรณีความผิดที่ถูกกล่าวหาเกิดจาการปฏิบัติหน้าที่หรือการปฏิบัติงานในการประกอบวิชาชีพ โดยสามารถทำสัญญาประกันได้ในวงเงินไม่เกิน 15 เท่าของอัตราเงินเดือนหรือรายได้เฉลี่ยต่อเดือน<br />
8.วิธีนำหลักประกันมาใช้ในการขอประกันตัว ผู้ขอประกันจะต้องทำอย่างไร?<br />
8.1 กรณีใช้โฉนดที่ดิน น.ส.3 หรือ น.ส.3 ก. ต้องมีหนังสือรับรองประเมินราคาที่ดินจากสำนักงานที่ดินจังหวัดหรือจากที่ว่าการอำเภอในเขตที่ที่ดินตั้งอยู่ แล้วแต่กรณี ซึ่งออกให้ภายในระยะเวลาไม่เกิน 6 เดือน รับรองโดยเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดหรือผู้ปฏิบัติราชการแทนหรือผู้ทำการแทน กรณีรับรองโดยสำนักงานที่ดินอำเภอ ผู้รับรองราคาประเมินจะต้องเป็นนายอำเภอหรือปลัดอำเภอผู้ทำการแทนหรือเจ้าหน้าที่บริหารงานที่ดินอำเภอ<br />
8.2 กรณีใช้สมุดเงินฝากธนาคารต้องมีหนังสือรับรองยอดเงินฝากคงเหลือปัจจุบันจากสาขาธนาคารที่เปิดบัญชี พร้อมระบุข้อความว่าธนาคารจะไม่ให้ถอนเงินจำนวนดังกล่าวไปจนกว่าจะได้รับคำสั่งเปลี่ยนแปลงจากศาลก่อน<br />
8.3 กรณีใช้บุคคลตามข้อ 7.5 เป็นหลักประกัน ต้องมีหนังสือรับรองจากต้นสังกัดแสดงสถานะ ตำแหน่ง ระดับอัตราเงินเดือน และควรระบุให้ชัดเจนว่าจะนำไปประกันใคร หากมีภาระผูกพันในการทำสัญญาประกันหรือใช้ตนเองเป็นหลักประกันผู้อื่นไว้ก็ให้แสดงภาระผูกพันนั้นด้วย<br />
8.4 กรณีใช้ทะเบียนรถยนต์หรือทะเบียนรถจักรยานยนต์ผู้ประกันต้องนำรถมาให้เจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ศาลตรวจดูสภาพและประเมินราคา<br />
8.5 กรณีใช้ที่ดิน ภบท.5 ส.ค.1 น.ส.2 หรือ สปก. ผู้ประกันต้องมีหนังสือรับรองราคาประเมินที่ดินจากธนาคาร เช่น ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร<br />
8.6 กรณีใช้บ้านพักอาศัย ผู้ประกันควรต้องมีภาพถ่ายบ้านและให้กำนันหรือผู้ใหญ่บ้านมีหนังสือรับรองการประเมินราคาให้<br />
8.7 กรณีใช้หลักทรัพย์ที่ติดจำนองหรือมีภาระติดพันผู้ขอประกันต้องแสดงได้ว่าราคาทรัพย์ส่วนที่เกินจากจำนองหรือจากภาระติดพันมีจำนวนเพียงพอต่อการใช้เป็นหลักประกัน<br />
8.8 กรณีบิดามารดาเป็นผู้ขอประกันบุตร ศาลอาจให้ประกันโดยไม่ต้องแสดงหลักทรัพย์ แต่ต้องมีหลักฐานยืนยันได้ว่าเป็นบุตร<br />
8.9 กรณีใช้หนังสือรับรองของบริษัทประกันภัยเป็นหลักประกันภัยเป็นหลักประกันดูข้อ 9<br />
หมายเหตุ : กรณีหลักทรัพย์ที่นำมาในวันยื่นของประกันตัวมีราคาไม่เพียงพอตามที่ศาลกำหนดวงเงินประกัน ศาลอาจอนุญาตให้ผู้ขอประกันขอผัดผ่อนนำหลักทรัพย์มาเพิ่มเติมให้ครบในภายหลังได้<br />
ทั้งนี้ ในกรณีที่เจ้าของหลักทรัพย์มอบอำนาจให้บุคคลอื่นยื่นคำร้องขอประกันตัวจะต้องทำหนังสือมอบอำนาจ ณ ที่ว่าการอำเภอที่มีภูมิลำเนาหรือหลักทรัพย์ตั้งอยู่โดยให้นายอำเภอ หรือผู้รักษาราชการแทนลงลายมือชื่อและประทับตราประจำตำแหน่งรับรองการมอบอำนาจ หรือทำหนังสือมอบอำนาจต่อหน้าเจ้าหน้าที่ศาล พร้อมทั้งนำบัตรประจำตัวประชาชนหรือบัตรประจำตัวเจ้าหน้าที่ของรัฐและนำเนาทะเบียนบ้านของผู้มอบอำนายและผู้รับมอบอำนาจมาด้วยบางศาลอาจอนุญาตเฉพาะนำหลักทรัพย์มาประกันญาติที่พน้องเพื่อป้องกันการหลอกลวงเอาทรัพย์ของผู้อื่นมาหาผลประโยชน์จากการประกันผู้ต้องหาหรือจำเลย<br />
9.การประกันตัวโดยใช้หนังสือรับรองของบริษัทประกันภัยกรณีการประกันภัยอิสรภาพคืออะไร?<br />
การประกันภัยอิสรภาพเป็นการประกันภัยที่บริษัทประกันภัยจะออกหนังสือรับรองให้แก่ผู้เอาประกันเพื่อใช้หนังสือรับรองดังกล่าวมาวางเป็นหลักประกันในการขอประกันตัว ซึ่งมี 2 แบบ คือ<br />
แบบที่ 1 การทำประกันภัยอิสรภาพอ่กนมีการกระทำความผิด<br />
เป็นกรณีที่บุคคลทั่วไปประสงค์จะมีหลักทรัพย์ในการขอประกันตัวไว้ล่วงหน้า เนื่องจากตนเองมีความเสี่ยงหรือมีโอกาสที่จะกระทำความผิดทางอาญาโดยประมาท เช่น ผู้ขับขี่รถ แพทย์ ผู้รับจ้างงานก่อสร้าง หากในระหว่างระยะเวลาคุ่มครองเกิดเหตุกระทำความผิดขึ้น ซึ่งอาจจะต้องถูกควบคุมตัวระหว่างดำเนินคดี บุคคลดังกล่าวสามารถใช้หนังสือรับรองเป็นหลักทรัพย์วางต่อศาลเพื่อขอประกันตัวตนเองได้<br />
แบบที่ 2 การทำประกันภัยอิสรภาพหลังมีการกระทำความผิด<br />
เป็นกรณีที่บุคคลตกเป็นผู้ต้องหาหรือจำเลยในคดีอาญาแล้วและจะถูกควบคุมตัวหรือถูกควบคุมตัวแล้ว ประสงค์จะหาหลักทรัพย์เพื่อนำไปขอประกันตัวตนเอง บุคคลดังกล่าวหรือเพื่อนหรือญาติสามารถมาติดต่อขอซื้อประกันภัยอิสรภาพกับบริษัทประกันภัยได้ โดยบริษัทจะออกกรมธรรม์และหนังสือรับรองให้ตามจำนวนเงินเอาประกันภัย บุคคลดังกล่าวสามารถนำหนังสือรับรองนั้นไปใช้เป็นหลักทรัพย์ในการขอประกันตัวต่อศาลได้<br />
ข้อสังเกต : การทำประกันภัยอิสรภาพหลังมีการกระทำผิดโดยปกติสามารถขอทำประกันได้ทุกข้อหาความผิด ยกเว้นความผิดที่เกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษ นอกจากการประกันภัยอิสรภาพดังกล่าวแล้วยังมีการประกันอีกแบบหนึ่งเรียกว่าการประกันภัยการประกันตัวผู้ขับขี่รถยนต์ ซึ่งบริษัทประกันภัยได้ขายเป็นแบบความคุ้มครองเพิ่มเติมแนบท้ายกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจ ซึ่งสามารถใช้หนังสือรับรองเป็นหลักทรัพย์ในการขอประกันตัวผู้ขับขี่รถยนต์ได้เช่นกัน<br />
9.1 จะนำหนังสือรับรองไปใช้อย่างไร?<br />
เมื่อได้รับหนังสือรับรองแล้ว ผู้เอาประกันภัยควรตรวจสอบ ชื่อ นามสกุล ฐานความผิด วงเงินประกัน และรายละเอียดอื่นๆ ให้ถูกต้องตามความเป็นจริง และนำหนังสือรับรองของบริษัทประกันภัยไปเป็นหลักทรัพย์ในการขอประกัน เมื่อผู้ต้องหาหรือจำเลยได้รับอนุญาตให้ประกันตัวแล้วจะต้องแจ้งวงเงินประกันให้บริษัททราบโดยเร็ว<br />
9.2 ผู้เอาประกันภัยมีสิทธิได้รับคืนเบี้ยประกันในกรณีใดบ้าง?<br />
บริษัทประกันจะคืนเบี้ยประกันภัยให้แก่ผู้เอาประกันภัยในกรณีดังนี้.-<br />
9.2.1 กรมธรรม์ประกันภัยอิสรภาพก่อนกระทำความผิด คืนเบี้ยประกันภัยกรณีเดียว คือ เมื่อผู้เอาประกันภัยเสียชีวิต และในระยะระหว่างเอาประกันภัยไม่มีการเรียกร้องให้ประกันตัว<br />
ซึ่งถ้าผู้เอาประกันภัยใช้หนังสือรับรองเพื่อประกันตัวไปแล้ว แต่ยังไม่เต็มวงเงินที่ระบุไว้หน้าตารางกรมธรรม์ ผู้เอาประกันภัยสามารถขอหนังสือรับรองฉบับใหม่ตามวงเงินส่วนที่เหลือโดยแจ้งเป็นหนังสือไปยังบริษัทประกันภัยได้<br />
9.2.2 กรมธรรม์ประกันภัยอิสรภาพหลังกระทำความผิด คืนเบี้ยประกันภัย 5 กรณี ดังนี้.-<br />
ก. หากศาลไม่อนุญาตให้ประกันตัว บริษัทประกันภัยคจะคืนเบี้ยประกันภัยให้แก่ผู้เอาประกันภัยโดยหักค่าใช้จ่ายในการดำเนินการไว้ 500 บาท ในกรณีไม่แน่ใจว่าศาลจะอนุญาตให้ประกันตัวหรือไม่ ผู้ขอประกันควรยื่นคำร้องขอประกันตัวต่อศาลเพื่อให้มีคำสั่งก่อน เมื่อศาลมีคำสั่งอนญาตให้ประกันตัวแล้วจึงไปติดต่อขอซื้อประกันภัยอิสรภาพ <br />
ข. หากศาลอนุญาตให้ประกันตัว แต่ภายหลังในระหว่างระยะเวลาประกันภัย ศาลได้มีคำสั่งให้ถอนหรือยกเลิกการให้ประกันตัวหรือผู้เอาประกันภัยไม่ประสงค์จะประกันตัวอีกต่อไป บริษัทประกันภัยจะคืนเบี้ยประกันภัยให้แก่ผู้เอาประกันภัยร้อยละ 20 ของเบี้ยประกันภัย<br />
ค. หากผู้เอาประกันภัยเสียชีวิต ในระหว่างระยะเวลาประกันภัยโดยมิได้มีการผิดสัญญาประกันตัวบริษัทประกันภัยจะคืนเบี้ยประกันภัยกึ่งหนึ่งให้กับทายาทของผู้เอาประกันภัย<br />
ง. หากผู้เอาประกันภัยไม่ผิดสัญญาประกันตัวจนสิ้นสุดระยะเวลาประกันภัย บริษัทประกันภัยจะคืนเบี้ยประกันภัยให้แก่ผู้เอาประกันภัยร้อยละ 20 ของเบี้ยประกันภัย<br />
จ. หากกรณีที่ผู้เอาประกันภัยได้ใช้หนังสือรับรองเพื่อประกันตัวไปแล้ว แต่ยังไม่เต็มวงเงินที่ระบุไว้ในหน้าตารางกรมธรรม์ บริษัทประกันภัยจะคืนเบี้ยประกันภัยส่วนที่เกินจำนวนเงินที่จะต้องรับผิดตามสัญญาประกันตัวให้<br />
10.กรณีผู้ต้องหาหรือจำเลยเคยขอประกันตัวไว้แล้ว หากต้องการขอให้ประกันตัวต่อไปจะใช้หลักทรัพย์เดิมได้หรือไม่?<br />
10.1 กรณีใช้เงินสดหรือหลักทรัพย์อื่นเป็นหลักประกัน<br />
ผู้ต้องหาหรือจำเลยที่เคยขอประกันตัวไว้ต่อสถานพินิจฯ พนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการและยังไม่ได้รับหลักทรัพย์คืน หากประสงค์จะขอประกันตัวต่อไป สามารถยื่นคำร้องต่อศาล ขอให้ถือเอาเงินสดหรือหลักทรัพย์นั้นเป็นหลักประกันต่อไปได้ <br />
สำหรับในกรณีใช้หลักทรัพย์เป็นหลักประกันชั้นสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน หากต้องการใช้หลักทรัพย์ดั้งกล่าวเป็นหลักประกันในชั้นศาลเยาวชนและครอบครัวต่อไปมีขั้นตอน ดังนี้.-<br />
(1) ผู้ขอประกันยื่นสำเนาใบเสร็จรับเงินที่ได้รับในวันประกันตัวชั้นสถานพินิจฯ พร้อมคำร้องของประกันตัวต่อเจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์<br />
(2) เจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์แจ้งสถานพินิจฯ และส่งสำเนาใบเสร็จรับเงินให้สถานพินิจฯ ทางโทรสาร<br />
(3) สถานพินิจฯ เมื่อได้รับเรื่องแล้ว จะส่งเอกสารที่ต้องยื่นประกอบคำร้องขอประกันตัวชั้นศาลให้แก่เจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ทางโทรสาร ได้แก่<br />
(3.1) หนังสือรับรองหลักทรัพย์การประกันตัวเด็กและเยาวชนจากสถานพินิจ<br />
(3.2) หนังสือรับรองราคาประเมินที่ดิน(กรณีหลักทรัพย์เป็นโฉนดที่ดินฯ)<br />
(3.3) หนังสือรับรองยอดเงินฝากจากธนาคาร (กรณีหลักทรัพย์เป็นสมุดเงินฝากที่ดินฯ)<br />
(3.4) หนังสือยินยอมคู่สมรส<br />
(3.5) หนังสือมอบอำนาจ (ถ้ามี)<br />
(3.6) อื่นๆ<br />
(4) เมื่อเจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ได้รับเอกสารตาม(3) ทางโทรสารแล้วจะนำเอกสารดังกล่าวพร้อมสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนทั้งของผู้ขอประกันและจำเลย กับสำเนาทะเบียนบ้านของผู้ขอประกัน เสนอศาลพิจารณาพร้อมคำร้องขอประกันตัว<br />
10.2 กรณีใช้บุคคลเป็นหลักประกัน<br />
บุคคลที่เป็นหลักประกันอาจร้องขอให้ศาลอาจถือเอาบุคคลนั้นเป็นหลักประกันในการประกันต่อไปได้<br />
11.จะยื่นขอประกันตัวต่อศาลได้เมื่อใด?<br />
11.1 เมื่อตกเป็นผู้ต้องหาและพนักงานสอบสวนนำตวมาผัดฟ้องหรือฝากขังต่อศาล<br />
11.2 เมื่อตกเป็นจำเลย<br />
11.2.1 โดยพนักงานอัยการนำตัวไปฟ้องศาล <br />
11.2.2 ในคดีที่ราษฎรเป็นโจทก์ ศาลไต่ส่วนมูลฟ้องแล้บคดีมีมูล ศาลออกหมายเรียกจำเลยไปสอบคำให้การแก้คดี<br />
11.3 เมื่อถูกขังตามหมายศาล เช่น ศาลออกหมายจับพยานที่ไม่มาศาล หรือจำเลยต้องคำพิพากษาให้จำคุก หรือกักขัง และคดียังอุทธรณ์ฎีกาได้<br />
11.4 เมื่อถูกจำคุกตามคำพิพากษาในกรณีละเมิดอำนาจศาล<br />
ผู้ต้องหาหรือจำเลยมีสิทธิขอประกันตัวได้ในคดีอาญาทุกประเภท ตั้งแต่ชั้นสอบสวนจนถึงชั้นศาล<br />
12.อยากทราบว่าคดีที่ถูกฟ้องต้องใช้วงเงินประกันเท่าไร?<br />
สามารถขอตรวจสอบวงเงินประกันในการให้ประกันตัวผู้ต้องหาหรือจำเลยได้ที่เจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ หรือเว็บไชด์ของศาล<br />
13.วิธีปฏิบัติในการขอประกันตัวต้องทำอย่างไร?<br />
วิธีปฏิบัติในการขอประกันตัวผู้ต้องหาหรือจำเลย มีดังนี้.-<br />
13.1 ขอแบบพิมพ์คำร้องขอประกันตัวได้จากเจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์<br />
13.2 เขียนคำร้องขอประกันตัวได้เองโดยขอคำแนะนำได้จากเจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ หากผู้ ขอประกันเขียนหนังสือไม่ได้จากเจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ จะบริการเขียนให้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย<br />
13.3 ให้ผู้ต้องหาหรือจำเลยลงชื่อขอประกันตัวในคำร้องขอประกันตัว เว้นแต่ผู้ต้องหาหรือจำเลยไม่ได้ถูกควบคุมอยู่ที่ศาล<br />
13.4 ผู้ขอประกันยื่นคำร้องขอประกันตัวพร้อมหลักฐานต่างๆ ที่เจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์<br />
13.5 เมื่อเจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ได้ตรวจคำร้องพร้อมหลักฐานเรียบร้อยแล้วและลงบัญชีรับเรื่องไว้เป็นหลักฐานจะนำเสนอคำร้องต่อผู้พิพากษาเพื่อพิจารณาสั่งคำร้อง เมื่อผู้พิพากษาสั่งคำร้องแล้วจตะส่งคำร้องขอประกันตัวคืนไปยังเจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์<br />
13.6 เจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์จะแจ้งคำสั่งศาลให้ผู้ขอประกันทราบ<br />
13.7 เมื่อศาลมีคำสั่งอนุญาตให้ประกันตัวแล้ว ถ้าจำเลยถูกควบคุมตัวอยู่ที่ศาลและยังไม่มีการออกหมายควบคุมไว้ก็จะนำตัวผู้ต้องหาหรือจำเลยออกจากห้องควบคุมในศาลได้เลย แต่ถ้าผู้ต้องหาหรือจำเลยถูกควบคุมตามหมายศาล เจ้าหน้าที่ก็จะนำหมายปล่อยไปปล่อย ณ ที่ถูกคุมขัง<br />
13.8 ผู้ต้องหาหรือจำเลยจะถูกปล่อยตัวในวันที่ศาลมีคำสั่งอนุญาตให้ประกันตัว<br />
13.9 หากศาลไม่อนุญาตให้ประกันตัว ผู้ขอประกันตัวขอรับหลักทรัพย์คืนได้จากเจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์<br />
13.10 การขอประกันตัวจำเลยในระหว่างอุทธรณ์หรือฎีกาใช้หลักเกณฑ์เช่นเดียวกับที่กล่าวมาแล้ว แต่ศาลอาจใช้ดุลยพินิจเพิ่มหลักประกันจากที่ใช้ในศาลชั้นต้นได้<br />
14.จะยื่นคำร้องขอประกันตัวได้ที่ไหน?<br />
14.1 ให้ยื่นคำร้องขอประกันที่งานประชาสัมพันธ์และบริการประชาชนของศาลชั้นต้นที่พิจารณาพิพากษาคดีนั้น ยกเว้นศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศให้ยื่นที่ส่วนงานประชาสัมพันธ์และบริการประชาชนของศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางสำหรับคดีทีเกิดในเขตกรุงเทพมหานคร นครปฐม นนทบุรี ปทุมธานี สมุทธปราการ สมุทรสาคร นอกจากนี้ให้ยื่นที่งานประชาสัมพันธ์ของศาลจังหวัดนั้น<br />
14.2 ศาลอุทธรณ์และศาลอุทธรณ์ภาคให้ยื่นที่กลุ่มงานคดี(รับฟ้อง)<br />
14.3 ศาลฎีกาให้ยื่นที่ส่วนคดี<br />
15.ศาลใช้หลักเกณฑ์อะไรในการวินิจฉัยสั่งคำร้องขอประกันตัว?<br />
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 108 ได้บัญญัติให้ศาลสามารถใช้ดุลพินิจในการอนุญาตให้ประกันตัวหรือไม่ โดยพิจารณาจากหลักเกณฑ์ต่างๆ ดังนี้.-<br />
(1) ความหนักเบาแห่งข้อหา<br />
(2) พยานหลักฐานที่ปรากฏแล้วมีเพียงใด<br />
(3) พฤติการณ์แห่งคดีเป็นอย่างไร<br />
(4) เชื่อถือผู้ขอประกันหรือหลักประกันได้เพียงใด<br />
(5) ผู้ต้องหาหรือจำเลยน่าจะหลบหนีหรือไม่ <br />
(6) ภัยอันตรายหรือความเสียหายที่จะเกิดจาการอนุญาตให้ประกันตัวมีเพียงใดหรือไม่<br />
(7) คำคัดค้านของพนักงานสอบสวน พนักงานอัยการโจทก์หรือผู้เสียหาย แล้วแต่กรณี<br />
(8) ข้อเท็จจริงหรือรายงานหรือความเห็นของเจ้าพนักงาน ซึ่งกฎหมายกำหนดให้มีอำนาจหน้าที่ที่เกี่ยวกับการนั้น<br />
ในกรณีผู้ต้องหาหรือจำเลยเป็นเด็กหรือเยาวชนศาลจะพิจารณาความประพฤติ ภูมิหลัง สิ่งแวดล้อมและผู้ปกครองในการดูแลเด็กประกอบด้วย<br />
ในคดีที่เด็กและเยาวชนไม่ได้รับการประกันตัวในชั้นสถานพินิจฯ ศาลเยาวชนและครอบครัว หรือศาลจังหวัดแผนกคดีเยาวชนและครอบครัวมีอำนาจทบทวนคำสั่งไม่อนุญาตให้ประกันตัวของผู้อำนวยการสถานพินิจฯ คำสั่งศาลเช่นว่านี้ให้เป็นที่สุด แต่ไม่ตัดสิทธิในการยื่นประกันตัวใหม่<br />
16.ศาลจะสั่งไม่อนุญาตให้ประกันตัวเพราะเหตุใดบ้าง?<br />
สำหรับการสั่งไม่อนุญาตให้ประกันตัวนั้น ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 108/1 บัญญัติให้ศาลกระทำได้ต่อเมื่อมีเหตุอันสมควรเชื่อเหตุใดเหตุหนึ่งดังต่อไปนี้.-<br />
(1) ผู้ต้องหาหรือจำเลยจะหลบหนี<br />
(2) ผู้ต้องหาหรือจำเลยจะไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน<br />
(3) ผู้ต้องหาหรือจำเลยจะไปก่อเหตุอันตรายประการอื่น<br />
(4) ผู้ร้องขอประกันหรือหลักประกัน ไม่น่าเชื่อถือ<br />
(5) การอนุญาตให้ประกันตัวจะเป็นอุปสรรคหรือก่อให้เกิดความเสียหายต่อการสอบสวนของเจ้าพนักงานหรือการดำเนินคดีในศาล<br />
17.มีกรณีที่ศาลจะสั่งอนุญาติให้ประกันตัวผู้ต้องหาหรือจำเลยโดยไม่มีผู้ขอประกันได้หรือไม่?<br />
กรณีผู้ต้องหาหรือจำเลยเป็นเด็กหรือเยาวชน ศาลเยาวชนและครอบครัวและศาลจังหวัดแผนกคดีเยาวชนและครอบครัว มีอำนาจสั่งปล่อยชั่วคราวตามที่ศาลเห็นสมควร โดยไม่ต้องมีผู้ขอประกัน ซึ่งมีหลักเกณฑ์ ดังนี้.-<br />
1.เด็กหรือเยาวชนถูกควบคุมตัวอยู่ในสถานพินิจฯ หรือสถานที่อื่นใดที่ได้รับมอบหมายให้ควบคุมตัวเด็กหรือเยาวชน<br />
2.ศาลเห็นสมควรมีคำสั่งปล่อยตัวเด็กหรือเยาวชนชั่วคราวโดยไม่มีประกัน หรือมีประกัน หรือมีประกันและหลักประกันก็ได้ หรือมอบตัวเด็กหรือเยาวชนแก่บิดามารดา ผู้ปกครอง หรือบุคคลที่เด็กหรือเยาวชนอาศัยอยู่หรือบุคคลหรือองค์กรที่ศาลเห็นสมควรก็ได้<br />
3.ก่อนที่ศาลจะมีคำสั่งมาอบเด็กหรือเยาวชนแก่บุคคลหรือองค์กรดังกล่าวให้ศาลเรียกผู้อำนวยการสถานพินิจฯ หรือผู้ปกครองสถานที่ที่ได้รับมอบหมายให้ควบคุมเด็กหรือเยาวชนแล้วแต่กรณีมาสอบถามความเห็นก่อน<br />
18.กรณีศาลไม่อนุญาตให้ประกันตัว ผู้ขอประกันมีสิทธิ์ประการบ้าง?<br />
ผู้ของประกันมีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งนั้นได้ ดังนี้.-<br />
18.1 คำสั่งของศาลชั้นต้เนให้อุทธรณ์ไปยังศาลอุทธรณ์หรือศาลอุทธรณ์ภาค แล้วแต่กรณี <br />
18.2 คำสั่งของศาลอุทธรณ์หรือศาลอุทธรณ์ภาคให้อุทธรณ์ไปยังศาลฎีกา<br />
คำสั่งของศาลอุทธรณ์หรือศาลอุทธรณ์ภาคที่ไม่อนุญาตให้ประกันตัวตามศาลชั้นต้นให้เป็นที่สุด ทั้งนี้ ไม่ตัดสิทธิที่จะยื่นคำร้องขอประกันตัวใหม่<br />
19.เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่อนุญาตให้ประกันตัว ผู้ขอประกันตัวจะดำเนินการอย่างไร?<br />
หากผู้ขอประกันไม่เห็นด้วยกับคำสั่งศาล สามารถอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาติให้ประกันตัวนั้นได้ กล่าวคือ เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่อนุญาตให้ประกันตัวในระหว่างสอบสวนหรือไม่อนุญาตให้ประกันตัวในระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้นตามที่ผู้ต้องหา จำเลย หรือผู้มีประโยชน์เกี่ยวข้องยื่นคำร้องขอประกันตัวไว้ ผู้ขอประกัน มีสิทธิยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นดังกล่าวได้<br />
20.การยื่นอุทธรณ์คำสั่งมีกำหนดเวลาหรือไม่?<br />
ตามปกติการอุทธรณ์คำสั่งหรือคำพิพากษาชั้นต้นจะต้องทำภายใน 1 เดือน แต่การอุทธรณ์กรณีศาลชั้นต้นไม่อนุญาตให้ประกันตัวผู้ต้องหาหรือจำเลยชั่วคราว จะยื่นอุทธรณ์เมื่อใดก็ได้แม้เกิน 1 เดือนนับแต่วันที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่ง (คำสั่งคำร้องศาลฏีกาที่ 617/2528)<br />
21.ยื่นคำร้องขออุทธรณ์คำสั่งที่ศาลใด?<br />
ยื่นได้ที่ศาลชั้นต้ตที่มีคำสั่งไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวหรือที่สาลอุทธรณ์หรือศาลอุทธรณ์ภาค แล้วแต่กรณี<br />
22.การอ่านคำสั่งของศาลอุทธรณ์หรือศาลอุทธรณ์ภาคจะอ่านที่ศาลใด?<br />
เมื่อศาลอุทธรณ์หรือศาลอุทธรณ์ภาคทำคำสั่งเสร็จแล้วจะส่งคำสั่งไปให้ศาลชั้นต้นอ่านคำสั่งให้ผู้ต้องหาหรือจำเลยและผู้อุทธรณ์คำสั่งทราบโดยเร็ว<br />
23.หากศาลอุทธรณ์หรือศาลอุทธรณ์ภาคยังยืนไม่อนุญาตให้ประกันตัวอีกจะทำอย่างไรต่อไปได้บ้าง?<br />
ในกรณีที่ศาลอุทธรณ์หรือศาลอุทธรณ์ภารมีคำสั่งยืนตามคำสั่งศาลชั้นต้น กล่าวคือ เห็นด้วยกับคำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้ประกันตัวหรือจำเลยในระหว่างสอบสวนหรือในระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้น คำสั่งศาลอุทธรณ์หรือศาลอุทธรณ์ภาคดังกล่าวนั้นเป็นที่สุด ผู้ขอประกันไม่สามารถฏีกาโต้แย้งคำสั่งศาลอุทธรณ์หรือศาลอุทธรณ์ภาคดังกล่าวต่อไปยังศาลฏีกา อย่างไรก็ตามผู้ขอประกันมีสิทธิยื่นคำร้องขอประกันตัวได้อีกโดยเริ่มต้นใหม่ตั้งแต่ศาลชั้นต้น<br />
24.การขอประกันตัวในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์หรือศาลอุทธรณ์ภาคทำอย่างไร?<br />
หลักจากศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาแล้ว ไม่ว่าศาลชั้นต้นจะพิพากษาลงโทรประหารชีวิต จำคุก กักขังหรือควบคุมตัวไว้เพื่อฝึกอบรมในสถานฝึกอบรม ยกฟ้องโจทก์แต่ให้ขังจำเลยไว้ในระหว่างอุทธรณ์ หรือลงโทษปรับแต่จำเลยไม่ชำระค่าปรับจึงต้องถูกกักขังแทนค่าปรับ กรณีเหล่านี้ย่อมยื่นคำร้องของประกันตัวในระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์หรือศาลอุทธรณ์ภาคได้<br />
24.1 ใครบ้างมีสิทธิยื่นคำร้องของประกันตัวชั้นอุทธรณ์?<br />
ผู้มีสิทธิยื่นคำร้องขอประกันตัวชั้นอุทธรณ์ คือ บุคคลที่มีสิทธิยื่นคำร้องประกันตัวผู้ต้องหาหรือจำเลยนั้นเอง ซึ่งได้แก่<br />
24.1.1 จำเลย<br />
24.1.2 ผู้มีประโยชน์เกี่ยวข้อง เช่น บุพการี ผู้สืบสันดาน สามี ภริยา ญาติพี่นต้อง ผู้บังคับบังชา นายจ้าง บุคคลที่เกี่ยวพันโดยทางสมรส บุคคลที่ศาลเห็นว่ามีความสัมพันธ์ใกล้ชิดเสมือนเป็นญาติที่นอ้งหรือมีความสัมพันธ์ในทางอื่นที่ศาลเห็นสมควรให้ประกันได้ หรือนิติบุคคล เช่น บริษัท ห้างหุ้นส่วนจำกัด) สำหรับกรณีผู้ต้องหาหรือจำเลยเป็นกรรมการ ผู้แทน ตัวแทน หุ้นส่วน พนักงาน หรือลูกจ้างของนิติบุคคลนั้น<br />
24.2 ยื่นคำร้องขอประกันตัวชั้นอุทธรณ์ที่ศาลใด?<br />
24.2.1 ในกรณีที่ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาแล้ว แม้ยังไม่มีการยื่นอุทธรณ์ หรือมีการยื่นอุทธรณ์แล้วแต่ยังไม่ได้ส่งสำนวนไปยังศาลอุทธรณ์หรือศาลอุทธรณ์ภาคก็ตาม ให้ยื่นคำร้องขอประกันตัวในระหว่างอุทธรณ์ที่ศาลชั้นต้นที่พิพากษาคดีนั้น ในกรณีนี้หากศาลชั้นต้นเห็นสมควรอนุญาตให้ประกันตัวในระหว่างอุทธรณ์ ศาลชั้นต้น มีอำนาจมีอำนาจสั่งอนุญาตได้เลย แต่ถ้าศาลชั้นต้นเห็นว่าไม่สมควรอนุญาตให้ประกันตัวในระหว่างอุทธรณ์ ปกติศาลชั้นต้นจะรีบส่งคำร้องพร้อมสำนวนคดีไปให้ศาลอุทธรณ์หรือศาลอุทธรณ์ภาคทางโทรสารเพื่อพิจารณาสั่งต่อไป ศาลชั้นต้นจะสั่งไม่อนุญาตเสียเองไม่ได้ ถ้าศาลชั้นต้นเผลอสั่งไม่อนุญาต ผู้มีสิทธิเผลอสั่งไม่อนุญาต ผู้มีสิทธิยื่นคำร้องขอย่อมอุทธรณ์คำสั่งไปยังศาลอุทธรณ์หรือศาลอุทธรณ์ภาคเพื่อให้ยกคำสั่งศาลชั้นต้นแล้วมีคำสั่งใหม่ให้ถูกต้องได้<br />
24.2.2 หากศาลชั้นต้นส่งสำนวนคดีไปยังศาลอุทธรณ์หรือศาลอุทธรณ์ภาคแล้ว จะยื่นที่ศาลชั้นต้นที่พิพากษาคดรนั้น หรือจะยื่นโดยตรงที่ศาลอุทธรณ์หรือศาลอุทธรณ์ภาคก็ได้ ในกรณีที่ยื่นที่ศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นจะรีบส่งคำร้องไปยังศลอุทธรณ์หรือศาลอุทธรณ์ภาคเพื่อพิจารณาสั่งต่อไป<br />
24.3 ยื่นได้ตั้งแต่เมื่อใดและยื่นได้กี่ครั้ง?<br />
ผู้มีสิทธิยื่นคำร้องาขอประกันตัวในระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์หรือศาลอุทธรณ์ภาคจะยื่นเมื่อใดก็ได้ ตราบใดที่ศาลอุทธรณ์หรือศาลอุทธรณ์ภาคยังไม่มีคำพิพากษา และกี่ครั้งก็ได้ตราบใดที่ศาลอุทธรณ์หรือศาลอุทธรณ์ภาคยังไม่มีคำสั่งอนุญาตให้ประกันตัวในระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์หรือศาลอุทธรณ์ภาคแต่การยื่นครั้งใหม่ควรมีเหตุผลอันสมควรที่จะทำให้ศาลอุทธรณ์หรือศาลอุทธรณ์ภาคเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิมด้วย<br />
24.4 การอ่รนคำสั่งศาลอุทธรณ์หรือศาลอุทธรณ์ภาคจะอ่านที่ศาลใด?<br />
เมื่อศาลอุทธรณ์หรือศาลอุทธรภาคทำคำสั่งเสร็จแล้วจะส่งคำสั่งไปให้ศาลชั้นต้นอ่านคำสั่งให้ผู้อุทธรณ์คำสั่งทราบ ศาลชั้นต้นจะแจ้งให้ผู้ต้องหารือจำเลยและผู้ขอประกันทราบโดยเร็ว<br />
ทั้งนี้ ศาลอุทธรณ์หรือศาลอุทธรณ์ภาคอาจมีคำสั่งอนุญาตให้ประกันตัวในระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์หรือศาลอุทธรณ์ภาคโดยให้ผู้ขอประกันวางหลักประกันเพิ่มจากที่เสนอมาก็ได้<br />
24.5 หากศาลอุทธรณ์หรือศาลอุทธรณ์ภาคมีคำสั่งไม่อนุญาตให้ประกันตัวในระหว่างพิจารณาของสาลอุทธรณ์หรือศาลอุทธรณ์ภาค ผู้ขอประกันมีสิทธิยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของศาลอุทธรณ์หรือศาลอุทธรณ์ภาคต่อไปยังศาลฏีกาได้<br />
25.นอกจากคำร้องขอประกันตัวแล้ว ผู้ขอประกันสามารถยื่นคำร้องอื่นๆ เกี่ยวกับการขอประกันตัวได้อีกหรือไม่?<br />
นอกจากคำร้องตามข้อ 24 แล้ว จำเลยหรือผู้ขอประกันอาจยื่นคำร้องขอให้ศาลอุทธรณ์หรือศาลอุทธรณ์ภาคมีคำสั่งในกรณีอื่นๆ เช่น ในกรณีที่พฤติการณ์แห่งคดีเปลี่ยนแปลงไป จำเลยอาจขอลดวงเงินประกันในระหว่างอุทธรณ์หรือผู้ขอประกันยื่นคำร้องว่าไม่ประสงค์จะประกันตัวต่อและขอหลักทรัพย์คืน เป็นต้น<br />
26.การอุทธรณ์คำสั่งปรับผู้ถูกบังคับตามสัญญาประกันทำได้อย่างไร?<br />
ในกรณีที่มีการผิดสัญญาประกันต่อศาล เมื่อศาลชั้นต้นสั่งประการใดแล้ว ผู้ถูกบังคับตามสัญญาประกันหรือพนักงานอัยการมีอำนาจยื่นอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นนั้น โดยยื่นอุทธรณ์ภายใน 1 เดือน นับแต่วันทราบคำสั่งและต้องยื่นอุทธรณ์ต่อศาลอุทธรณ์หรือศาลอุทธรณ์ภาค การอุทธรณ์ไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมและไม่ต้องห้ามเรื่องทุนทรัพย์ คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์หรือศาลอุทธรณ์ภาคเป็นที่สุดจะฏีกาอีกไม่ได้<br />
27.การขอประกันตัวในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกาทำอย่างไร?<br />
ถ้าศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษประหารชีวิต จำคุก กักขัง ฝึกอบรมในสถานพินิจฯ หรือขังไว้ระหว่างฎีกา หรือจะต้องถูกกักขังแทนค่าปรับ ย่อมยื่นคำร้องขอประกันตัวในระหว่างพิจารณาของศาลฎีกาได้<br />
27.1 ใครบ้างมีสิทธิยื่นคำร้องขอประกันตัวชั้นฎีกา?<br />
ผู้มีสิทธิยื่นคำร้องขอประกันตัว คือ บุคคลที่มีสิทธิยื่นคำร้องขอประกันตัวผู้ต้องหาหรือจำเลยนั้นเอง ซึ่งได้แก่<br />
27.1.1 จำเลย<br />
27.1.2 ผู้มีประโยชน์เกี่ยวข้อง เช่น บุพการี ผู้สืบสันดาน สามี ภริยา ญาติพี่น้อง ผู้บังคับบัญชา นายจ้าง บุคคลที่เกี่ยวกันโดยทางสมรส บุคคลที่ศาลเห็นว่ามีความสัมพันธ์ใกล้ชิดเสมือนเป็นญาติพี่น้องหรือมีความสัมพันธ์ในทางอื่นที่ศาลเห็นสมควรให้ประกันได้ หรือนิติบุคคล (เช่น บริษัท ห้างหุ้นส่วนจำกัด) สำหรับกรณีผู้ต้องหาหรือจำเลยเป็นกรรมการ ผู้แทน ตัวแทน หุ้นส่วน พนักงานหรือลูกจ้างของนิติบุคคลนั้น<br />
27.2 ยื่นคำร้องของประกันตัวชั้นฎีกาที่ศาลใด?<br />
27.2.1 ในกรณีที่ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์หรือศาลอุทธรณ์ภาคแล้ว แม้ยังไม่มีการยื่นฎีกา หรือยื่นฎีกาแล้วแต่ยังไม่ได้ส่งสำนวนไปยังศาลฎีกา ให้ยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นที่พิพากษาคดีนั้น <br />
27.2.2 ในกรณีที่ศาลชั้นต้นส่งสำนวนไปศาลฎีกาแล้วจะยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นที่พิพากษาคดีนั้น หรือจะยื่นต่อศาลฎีกาก็ได้ ถ้ายื่นต่อศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นจะส่งคำร้องไปยังศาลฎีกา<br />
27.3 ศาลใดเป็นผู้พิจารณาคำร้อง?<br />
ในกรณียังไม่มีการยื่นฎีกาหรือยื่นฎีกาแล้ว แต่ศาลชั้นต้นยังไม่ได้ส่งสำนวนไปศาลฎีกา ถ้าศาลชั้นต้นเห็นสมควรให้ประกันตัว ศาลชั้นต้นจะสั่งอนุญาต มิฉะนั้นศาลชั้นต้นจะส่งคำร้องพร้อมสำนวนไปให้ศาลฎีกาพิจารณาสั่ง<br />
27.4 กรณีศาลฎีกาไม่อนุญาตให้ประกันตัว ผู้ขอประกันอาจยื่นขอประกันตัวอีกได้โดยเริ่มต้นใหม่ตั้งแต่ศาลชั้นต้นได้ กรณีอื่นๆ มีวิธีปฏิบัติเช่นเดียวกับชั้นอุทธรณ์<br />
28.หน้าที่ของผู้ขอประกันมีอย่างไรบ้าง?<br />
ผู้ขอประกันต้องส่งตัวผู้ต้องหาหรือจำเลยต่อศาลตามนัดหรือมอบอำนาจให้ผู้อื่นส่งแทนก็ได้โดยขอแบบฟอร์มได้ที่เจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์<br />
หากผู้ต้องหาหรือจำเลยมาศาลแต่ผู้ขอประกันไม่มาศาลไม่ถือว่าผิดสัญญาประกัน แต่ถือว่ผู้ขอประกันทราบคำสั่งของศาลและวันนัดส่งตัวคราวต่อไปแล้ว<br />
กรณีศาลอนุญาตให้ประกันโดยมีเงื่อนไข เช่น ให้ผู้ต้องหาหรือจำเลยไปรายงานตัวต่อพนักงานสอบสวน หรือเจ้าหน้าที่ศาลหรือห้ามออกนอราชอาณาจักร ผู้ต้องหาหรือจำเลยและผู้ขอประกันก็ต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขดังกล่าว<br />
29.กรณีผู้ต้องหาหรือจำเลยหลบหนี ผู้ขอประกันมีหน้าที่อย่างไรบ้าง?<br />
กรณีผู้ต้องหาหรือจำเลยหนีหรือจะหลบหนี ผู้ถูกบังคับตามสัญญาประกันอาจขอให้เจ้าพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจที่ใกล้ที่สุดจับผู้ต้องหาหรือจำเลยหรือถ้าไม่อาจขอความช่วยเหลือได้ก็มีอำนาจจับผู้ต้องหาหรือจำเลยนั้นได้เอง แล้วส่งไปยังพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจที่ใกล้ที่สุด<br />
กรณีไม่สามารถส่งตัวผู้ต้องหหรือจำเลยโดยไม่มีเหตุสมควร ถือว่าผิดสัญญาประกัน ศาลจะสั่งปรับผู้ถูกบังคับตามสัญญาประกันและยึดหลักประกันขายทอดตลอด หากผู้ขอประกันไม่ชำระค่าปรับ เมื่อศาลสั่งปรับ ผู้ถูกบังคับตามสัญญาประกันแล้ว ผู้ถูกบังคับตามสัญญาประกันสามารถนำตัวผู้ต้องหาหรือจำเลยมาส่งศาลได้โดยเร็ว ศาลจะลดค่าปรับลงให้ตามสมควร<br />
30.การถอนประกันต่อศาลต้องทำอย่างไร?<br />
ผู้ขอประกันอาจถอนสัญญาประกันหรือขอถอนหลักประกันต่อศาลได้เสมอ โดยต้องส่งตัวผู้ต้องหาหรือจำเลยคืนต่อศาลเมื่อศาลอนุญาตความรับผิดชอบตามสัญญาประกันเป็นอันสิ้นสุดลง<br />
31.การขอรับหลักทรัพย์หรือเงินสดคืนจากศาลต้องปฏิบัติอย่างไร?<br />
31.1 ในกรณีของศาลอาญา ศาลอาญาธนบุรี ศาลอาญากรุงเทพใต้ ศาลจังหวัดและศาลแขวง และศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง<br />
เมื่อคดีถึงที่สุดหรือศาลมีคำสั่งอนุญาตให้ถอนประกัน หรือสัญญาประกันสิ้นสุดลงด้วยเหตุอื่น ความรับผิดตามสัญญาประกันสิ้นสุดลง ผู้ขอประกันสามารถขอรับหลักประกันคืนได้ทันทีโดยยื่นคำร้องต่อศาลและแนบหลักฐานคือ ใบรับหลักฐาน และใบรับเงินที่ศาลออกให้เมื่อครั้งยื่นของประกันตัว หากใบรับหลักฐานหรือใบรับเงินสูญหายต้องแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจและนำใบรับแจ้งความมาแสดงต่อศาล โดยปกติแล้วผู้ขอประกันจะต้องยื่นคำร้องด้วยตนเอง หากไม่สามารถมารับได้ด้วยตนเอง สามารถมอบฉันทะให้ผู้อื่นมารับหลักทรัพย์หรือเงินทดแทนได้ โดยใบมอบฉันทะขอได้ที่เจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ของศาล<br />
31.2 ในกรณีของศาลเยาวชนและครอบครัวและศาลจังหวัดแผนกคดีเยาวชนและครอบครัว <br />
31.2.1 กรณีประกันในชั้นสถานพินิจฯ<br />
การขอถอนหลักทรัพย์ที่เป็นหลักประกันคืน เมื่อศาลได้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งใหยื่นแถลงขอถอนหลักทรัพย์คืนต่อศาลเมื่อศาลมีคำสั่งอนุญาตให้ถอนหลักทรัพย์คืนได้ที่สถานพินิจฯ เอกสารที่ต้องยื่นต่อสถานพินิจฯ ในการขอถอนหลักทรัพย์คืน ประกอบด้วยหนังสือจากผู้อำนวยการสำนักงานหรือสำนักอำนวยการประจำศาลเยาชนและครอบครัวแจ้งผู้อำนวยการสถานพินิจฯ อนุญาตให้ถอนหลักทรัพย์คืน ใบเสร็จรับเงินที่ได้รับในวันประกันตัวชั้นสถานพินิจฯ สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของผู้ขอประกัน <br />
31.2.2 กรณียื่นหลักประกันในชั้นศาล<br />
การขอรับหลักทรัพย์หรือเงินสดคืนจากศาล ต้องปฏิบัติ ดังนี้.- <br />
เมื่อคดีถึงที่สุดหรือศาลมีคำสั่งอนุญาตให้ถอนประกันหรือสัญญาประกันสิ้นสุดลงด้วยเหตื่นความรับผิดตามสัญญาประกันสิ้นสุดลง ผู้ขอประกันสามารถขอรับหลักประกันคืนได้ทันที โดยยื่นคำร้องต่อศาลและแนบหลักฐานคือ ใบรับหลักฐาน และใบรับเงิน ที่ศาลออกให้เมื่อครั้งยืท่นขอประกันตัว หากใบรับหลักฐานหรือใบรับเงินสูญหายต้องแจ้งความต่อเจ้าพนักงานตำรวจและนำใบรับแจ้งความมาแสดงต่อศาล โดยปกติแล้ว ผู้ขอประกันจะต้องยื่นคำร้องด้วยตนเอง หากไม่สามารถมารับได้ด้วยตนเอง สามารถมอบฉันทะให้ผู้อื่นมารับหลักทรัพย์หรือเงินสดแทนได้ โดยใบมอบฉันทะขอได้ที่เจ้าหน้าที่ประชาสัมพัน์ของศาลBTC Admin http://www.blogger.com/profile/17552179607270050206noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-224978953028537233.post-304253087425207942016-08-04T17:39:00.000-07:002016-08-04T17:39:09.697-07:00อัตราวงเงินประกันตัวผู้ต้องหาในคดีอาญา<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://1.bp.blogspot.com/-LGKfYiYdEFM/V6Pf_jQOVwI/AAAAAAABdY8/GQb_zqUr52Q6CZW-xOUcVoTwN9BS2bQnQCLcB/s1600/policeman_crook_praying_ha.gif" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="320" src="https://1.bp.blogspot.com/-LGKfYiYdEFM/V6Pf_jQOVwI/AAAAAAABdY8/GQb_zqUr52Q6CZW-xOUcVoTwN9BS2bQnQCLcB/s320/policeman_crook_praying_ha.gif" width="320" /></a></div>
<br />
อัตรานี้ ใช้สำหรับประกันตัวจำเลยต่อศาลในคดีอาญา<br />
อัตราหลักประกันฯ<br />
<br />
ประมวลกฎหมายอาญา<br />
มาตรา ข้อหาหรือฐานความผิด วงเงินประกัน/บาท<br />
<br />
<br />
<a name='more'></a> <br />
<br />
136 ดูหมิ่นเจ้าพนักงาน 30,000<br />
137 แจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงาน 20,000<br />
138 วรรคแรก ต่อสู้หรือขัดขวางเจ้าพนักงาน 30,000<br />
วรรคสอง โดยใช้กำลังประทุษร้ายฯ 40,000<br />
139 ข่มขืนใจเจ้าพนักงาน 80,000<br />
138 , 139 ต่อสู้ขัดขวาง, ข่มขืนใจเจ้าพนักงาน <br />
ประกอบ วรรคแรก มีหรือใช้อาวุธหรือร่วมกันตั้งแต่สามคนขึ้นไป 90,000<br />
140 วรรคสอง อ้างอั้งยี่หรือซ่องโจร 150,000<br />
วรรคสาม มีหรือใช้อาวุธปืนหรือวัตถุระเบิด 150,000<br />
ถ้าการกระทำความผิดตาม ม. นี้เป็นการกระทำ 180,000<br />
โดยมีหรือใช้อาวุธปืน โดยอ้างอั้งยี่หรือซ่องโจร <br />
141 ถอน ทำให้เสียหายฯ ซึ่งตราหรือเครื่องหมาย 40,000<br />
142 ทำให้เสียหาย ทำลายฯ ซึ่งทรัพย์สินหรือเอกสารใดๆ 50,000<br />
143 คนกลางเรียกรับสินบน 90,000<br />
144 ให้สินบนเจ้าพนักงาน 90,000<br />
145 แสดงตนเป็นเจ้าพนักงาน 30,000<br />
146 สวมเครื่องแบบหรือประดับเครื่องหมายของเจ้าพนักงาน 30,000<br />
147 เจ้าพนักงานยักยอก 300,000<br />
148 เจ้าพนักงานข่มขืนใจ 500,000<br />
149 เจ้าพนักงานรับสินบน 500,000<br />
150 เจ้าพนักงานกระทำการโดยเห็นแก่สินบนที่เรียกรับ 300,000<br />
151 เจ้าพนักงานใช้อำนาจในตำแหน่งโดยทุจริต 300,000<br />
152 เจ้าพนักงานมีหน้าที่จัดการเข้าไปมีส่วนได้เสีย 120,000<br />
153 เจ้าพนักงานจ่ายทรัพย์เกินกว่าที่ควรจ่าย 120,000<br />
154 เจ้าพนักงานทุจริตในการเก็บรายได้ 300,000<br />
155 เจ้าพนักงานทุจริตในการกำหนดราคาทรัพย์สิน 300,000<br />
156 เจ้าพนักงานทุจริตช่วยเหลือเกี่ยวกับบัญชี 300,000<br />
157 เจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ 120,000<br />
158 เจ้าพนักงานทำให้ทรัพย์หรือเอกสาร 100,000<br />
ที่ตนปกครองเสียหาย <br />
159 เจ้าพนักงานทำอันตรายเครื่องหมายที่ประทับทรัพย์สิน 90,000<br />
160 เจ้าพนักงานใช้ดวงตราหรือรอยตราโดยมิชอบ 90,000<br />
161 เจ้าพนักงานปลอมเอกสาร 120,000<br />
162 เจ้าพนักงานทำเอกสารเท็จ 100,000<br />
163 เจ้าพนักงานเปิดจดหมายหรือโทรเลข 90,000<br />
164 เจ้าพนักงานทำให้ผู้อื่นล่วงรู้ความลับทางราชการ 90,000<br />
165 เจ้าพนักงานป้องกันหรือขัดขวางมิให้การเป็นไป 30,000<br />
ตามกฎหมายหรือคำสั่ง <br />
166 วรรคแรก เจ้าพนักงานละทิ้งงาน 90,000<br />
วรรคสอง ทำเพื่อเปลี่ยนแปลงกฎหมายแผ่นดิน 120,000<br />
167 ให้สินบนเจ้าพนักงานในการยุติธรรม 100,000<br />
168 ขัดขืนคำบังคับซึ่งให้มาเพื่อให้ถ้อยคำ 10,000<br />
169 ขัดขืนคำบังคับซึ่งให้ส่งทรัพย์หรือเอกสารใด 10,000<br />
170 ขัดขืนหมายหรือคำสั่งศาลให้มาให้ถ้อยคำในการ 20,000<br />
พิจารณาคดี <br />
171 ขัดขืนคำสั่งของศาลให้สาบาน 20,000<br />
172 แจ้งความเท็จเกี่ยวกับความผิดอาญา 40,000<br />
173 แจ้งความเท็จว่ามีการกระทำความผิดอาญา 40,000<br />
174 วรรคแรก แจ้งความเท็จตาม ม. 172 , 173 เพื่อแกล้งให้ 40,000<br />
ประกอบ ต้องถูกบังคับตามวิธีการเพื่อความปลอดภัย <br />
172 , 173 วรรคสอง เพื่อแกล้งให้ต้องรับโทษหรือรับโทษหนักขึ้น 100,000<br />
175 ฟ้องเท็จ 90,000<br />
177 วรรคแรก เบิกความเท็จ 90,000<br />
วรรคสอง เบิกความเท็จในการพิจารณาคดีอาญา 100,000<br />
178 แปลข้อความให้ผิดไปในข้อสำคัญ 50,000<br />
179 ทำพยานหลักฐานอันเป็นเท็จ 40,000<br />
180 วรรคสอง นำสืบหรือแสดงหลักฐานเท็จ 100,000<br />
ในการพิจารณาคดีอาญา <br />
184 ช่วยผู้อื่นไม่ให้ต้องรับโทษ 90,000<br />
185 ทำลายพยานหลักฐานหรือเอกสารที่ยื่นต่อศาล 90,000<br />
186 ทำให้เสียหาย ทำลายฯ ซึ่งทรัพย์สินที่ศาลมีคำพิพากษา 50,000<br />
ให้ริบ <br />
187 ทำให้เสียหาย ทำลายฯ ซึ่งทรัพย์ที่ถูกยึดหรืออายัด 50,000<br />
เพื่อมิให้เป็นไปตามคำพิพากษา <br />
188 ทำลายเอกสารหรือพินัยกรรม 90,000<br />
189 ช่วยเหลือผู้กระทำความผิด 40,000<br />
190 วรรคสอง หลบหนีโดยแหกที่คุมขังหรือร่วมกัน 50,000<br />
ตั้งแต่สามคนขึ้นไป <br />
โดยใช้กำลังประทุษร้าย 90,000<br />
วรรคสาม ถ้าการกระทำความผิดตาม ม. นี้เป็นการ 120,000<br />
กระทำโดยมีหรือใช้อาวุธปืนหรือวัตถุระเบิด <br />
191 วรรคแรก ทำให้ผู้ถูกคุมขังหลบหนี 90,000<br />
วรรคสอง ถ้าผู้ถูกคุมขังที่หลบหนีต้องคำพิพากษา 100,000<br />
ลงโทษประหารชีวิตฯ หรือมีจำนวนสามคนขึ้นไป <br />
วรรคสาม ใช้กำลังประทุษร้ายหรือมีหรือใช้อาวุธปืน 120,000<br />
หรือวัตถุระเบิด <br />
ถ้าการกระทำความผิดตาม ม. นี้ เป็นการกระทำ 150,000<br />
โดยใช้กำลังประทุษร้าย มีหรือใช้อาวุธปืนหรือวัตถุระเบิดให้ <br />
ผู้ถูกคุมขังซึ่งต้องคำพิพากษาลงโทษประหารชีวิตหลบหนี <br />
192 ให้พำนักผู้ที่หลบหนี 80,000<br />
197 ใช้กำลังประทุษร้ายหรือให้ประโยชน์เพื่อกีดกันขัดขวางการ 20,000<br />
ขายทอดตลาดของเจ้าพนักงาน <br />
198 ดูหมิ่นศาล 100,000<br />
199 ซ่อนเร้น ย้าย ทำลายศพ 30,000<br />
200 วรรคแรก เจ้าพนักงานยุติธรรมช่วยผู้อื่นไม่ให้ต้องโทษ 100,000<br />
วรรคสอง ทำเพื่อแกล้งให้บุคคลอื่นต้องรับโทษ 300,000<br />
201 เจ้าพนักงานยุติธรรมเรียกรับสินบน 500,000<br />
202 เจ้าพนักงานยุติธรรมกระทำการโดยเห็นแก่สินบน 500,000<br />
203 เจ้าพนักงานขัดขวางเพื่อมิให้เป็นไปตามคำพิพากษา 80,000<br />
204 วรรคแรก เจ้าพนักงานทำให้ผู้ถูกคุมขังหลุดพ้น 100,000<br />
วรรคสอง ถ้าผู้ถูกคุมขังต้องคำพิพากษาลงโทษประหารชีวิต ฯ หรือมีจำนวนสามคนขึ้นไป 150,000<br />
205 ทำให้ผู้ถูกคุมขังหลุดพ้นโดยประมาท 40,000<br />
206 เหยียดหยามศาสนา 100,000<br />
207 ก่อความวุ่นวายในพิธีกรรมทางศาสนา 30,000<br />
208 แต่งกายเป็นพระภิกษุ 30,000<br />
209 วรรคแรก อั้งยี่ 100,000<br />
วรรคสอง ผู้กระทำความผิดเป็นหัวหน้า ฯ 120,000<br />
210 วรรคแรก ซ่องโจร 10,000<br />
วรรคสอง สมคบกระทำความผิดที่มีโทษถึงประหารชีวิตฯ 60,000<br />
214 ประพฤติตนเป็นธุระจัดหาที่พำนัก 80,000<br />
215 วรรคแรก มั่วสุมตั้งแต่ 10 คน ก่อความวุ่นวาย 30,000<br />
วรรคสอง ผู้กระทำความผิดคนหนึ่งมีอาวุธ 60,000<br />
วรรคสาม ผู้กระทำความผิดเป็นหัวหน้า ฯ 100,000<br />
217 วางเพลิง 100,000<br />
218 วางเพลิงมีเหตุฉกรรจ์ 500,000<br />
220 วรรคแรก ทำให้เกิดเพลิงไหม้ 100,000<br />
วรรคสอง ทำให้เกิดเพลิงไหม้แก่ทรัพย์ตาม ม.218 500,000<br />
221 ทำให้เกิดระเบิด 100,000<br />
223 ทำให้เกิดเพลิงไหม้หรือระเบิดแก่ทรัพย์ที่มีราคาน้อย 80,000<br />
224 วรรคแรก ทำผิดตาม ม.217,218,221,222 เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย 500,000<br />
วรรคสอง รับอันตรายสาหัส 400,000<br />
225 ทำให้เกิดเพลิงไหม้โดยประมาท 100,000<br />
226 ทำการใดๆ แก่โรงเรือนน่าเป็นอันตรายแก่บุคคลอื่นฯ 90,000<br />
227 ไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์แห่งวิชาชีพ 90,000<br />
228 วรรคแรก ทำให้เกิดอุทกภัยหรือขัดข้องแก่การใช้น้ำ 90,000<br />
วรรคสอง เป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่บุคคล 100,000<br />
หรือทรัพย์ของผู้อื่น <br />
229 ทำให้ทางสาธารณะน่าจะเป็นเหตุอันตรายแก่การจราจร 90,000<br />
230 ก่ออันตรายแก่ทางรถไฟหรือรถราง 100,000<br />
231 ก่ออันตรายแก่เครื่องสัญญาณในการจราจรฯ 100,000<br />
232 ก่ออันตรายแก่ยานพาหนะน่าจะเป็นอันตรายแก่บุคคล 100,000<br />
234 กระทำแก่สิ่งที่ใช้ในการผลิตในการส่งไฟฟ้าหรือน้ำ 90,000<br />
237 เอาของมีพิษเจืออาหาร 120,000<br />
238 วรรคแรก ทำผิดตาม ม.226 ถึง ม. 237 เป็นเหตุให้ผู้อื่น 300,000<br />
ถึงแก่ความตาย <br />
วรรคสอง รับอันตรายสาหัส 120,000<br />
240 ปลอมเงินตรา 300,000<br />
241 แปลงเงินตรา 300,000<br />
242 วรรคแรก ทำให้เหรียญกระษาปณ์มีน้ำหนักลด 100,000<br />
วรรคสอง นำเหรียญกระษาปณ์เข้าในราชอาณาจักร 100,000<br />
244 มีไว้เพื่อนำออกใช้ซึ่งเงินตราปลอมหรือแปลงโดยรู้ 150,000<br />
245 ไม่รู้ว่าเป็นเงินตราปลอมหรือแปลงต่อมารู้ยังขืนนำออกใช้ 120,000<br />
246 ทำเครื่องมือสำหรับปลอมหรือแปลงเงินตรา 200,000<br />
249 วรรคแรก ทำบัตรหรือโลหธาตุให้คล้ายคลึงเงินตรา 30,000<br />
หรือจำหน่าย <br />
วรรคสอง จำหน่ายโดยการนำออกใช้ 80,000<br />
250 ปลอมดวงตราแผ่นดิน 200,000<br />
251 ปลอมดวงตราทบวงการเมือง 100,000<br />
254 ปลอมแสตมป์ 100,000<br />
255 นำดวงตราปลอมเข้าในราชอาณาจักร 120,000<br />
256 นำแสตมป์ที่ใช้ไม่ได้แล้วกลับมาใช้ใหม่ 40,000<br />
257 ใช้ ขาย แลกเปลี่ยนแสตมป์อันเกิดจากการกระทำผิดตาม 80,000<br />
ม. 256 <br />
258 ปลอมหรือแปลงตั๋วโดยสารซึ่งใช้ในการขนส่งสาธารณะ 40,000<br />
259 กระทำความผิดตาม ม. 258 เกี่ยวกับตั๋วสำหรับผ่านเข้า 40,000<br />
สถานที่ใดๆ <br />
260 ใช้ ขาย แลกเปลี่ยนตั๋วอันเกิดจากการกระทำความผิด 40,000<br />
ตาม ม. 258 , 259 <br />
261 ทำเครื่องมือสำหรับปลอมหรือแปลงตั๋ว 40,000<br />
264 ปลอมเอกสาร 50,000<br />
265 ปลอมเอกสารสิทธิหรือเอกสารราชการ 100,000<br />
266 ปลอมเอกสารมีเหตุฉกรรจ์ 150,000<br />
267 แจ้งเจ้าพนักงานจดข้อความอันเป็นเท็จ 50,000<br />
269 ประกอบวิชาชีพแพทย์ รับรองเอกสารอันเป็นเท็จ 40,000<br />
270 ใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ ซึ่งเครื่องชั่งเพื่อเอาเปรียบในการค้า 50,000<br />
271 หลอกลวงขายของ 50,000<br />
272 เอาชื่อ รูป เลียนแบบสินค้า 40,000<br />
273 ปลอมเครื่องหมายการค้า 40,000<br />
274 เลียนแบบเครื่องหมายการค้า 40,000<br />
276 วรรคแรก ข่มขืนกระทำชำเรา 200,000<br />
วรรคสอง ทำโดยมีหรือใช้อาวุธปืนหรือวัตถุระเบิด 350,000<br />
หรือโทรมหญิง <br />
277 วรรคแรก ชำเราเด็กหญิงอายุไม่เกินสิบห้าปี 200,000<br />
วรรคสอง ชำเราเด็กหญิงอายุไม่เกินสิบสามปี 350,000<br />
วรรคสาม โทรมเด็กหญิงและเด็กหญิงไม่ยินยอม 350,000<br />
277 ทวิ ทำผิดตาม ม.276 ว.1 , 277 ว.1 , ว.2 เป็นเหตุให้ <br />
(1) รับอันตรายสาหัส 400,000<br />
(2) ถึงแก่ความตาย 500,000<br />
277 ตรี ทำผิดตาม ม.276 ว.2 , 277 ว.3 เป็นเหตุให้ <br />
(1) รับอันตรายสาหัส 500,000<br />
(2) ถึงแก่ความตาย 500,000<br />
278 อนาจารบุคคลอายุกว่าสิบห้าปี 120,000<br />
279 วรรคแรก อนาจารเด็กอายุไม่เกินสิบห้าปี 120,000<br />
วรรคสอง โดยใช้กำลังประทุษร้ายฯ 150,000<br />
280 ทำผิดตาม ม.278 ,279 เป็นเหตุให้ <br />
(1) รับอันตรายสาหัส 200,000<br />
(2) ถึงแก่ความตาย 500,000<br />
282 วรรคแรก เพื่อสำเร็จความใคร่ของผู้อื่น 120,000<br />
วรรคสอง กระทำแก่บุคคลเกินสิบห้าปีแต่ไม่เกินสิบแปดปี 180,000<br />
วรรคสาม กระทำแก่เด็กอายุไม่เกินสิบห้าปี 200,000<br />
283 วรรคแรก เพื่อสำเร็จความใคร่ของผู้อื่น 200,000<br />
วรรคสอง กระทำแก่บุคคลอายุเกินสิบห้า 350,000<br />
แต่ไม่เกินสิบแปดปี <br />
วรรคสาม กระทำแก่เด็กอายุไม่เกินสิบห้าปี 500,000<br />
283 ทวิ วรรคแรก พาบุคคลอายุเกินสิบห้าปีแต่ไม่เกินสิบแปดปีไปเพื่อการอนาจาร แม้จะยินยอม 90,000<br />
วรรคสอง พาบุคคลอายุไม่เกินสิบห้าปี 100,000<br />
284 พาผู้อื่นไปเพื่อการอนาจารโดยใช้อุบายหลอกลวง ขู่เข็ญ 120,000<br />
286 ดำรงชีพจากหญิงค้าประเวณี 300,000<br />
288 ฆ่าผู้อื่น 500,000<br />
พยายามฆ่าผู้อื่น 300,000<br />
289 ฆ่ามีเหตุฉกรรจ์ 500,000<br />
พยายามฆ่ามีเหตุฉกรรจ์ 300,000<br />
290 วรรคแรก ทำร้ายผู้อื่นถึงแก่ความตาย 180,000<br />
วรรคสอง มีเหตุฉกรรจ์ตาม ม.289 200,000<br />
291 ประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย 120,000<br />
รถยนต์ส่วนบุคคล 120,000<br />
รถยนต์บรรทุก รถรับจ้าง รถโดยสาร 150,000<br />
292 ทารุณบุคคลซึ่งต้องพึ่งตน 100,000<br />
293 ยุยงเด็กฆ่าตนเอง 90,000<br />
294 ชุลมุนต่อสู้จนเป็นเหตุให้มีบุคคลถึงแก่ความตาย 60,000<br />
295 ทำร้าย 40,000<br />
296 ทำร้ายมีเหตุฉกรรจ์ 40,000<br />
297 ทำร้ายสาหัส 120,000<br />
298 ทำร้ายสาหัสมีเหตุฉกรรจ์ 150,000<br />
299 ชุลมุนต่อสู้จนเป็นเหตุให้มีบุคคลรับอันตรายสาหัส 30,000<br />
300 ประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นรับอันตรายสาหัส 50,000<br />
รถยนต์ส่วนบุคคล 100,000<br />
รถยนต์บรรทุก รถรับจ้าง รถโดยสาร 120,000<br />
301 หญิงทำให้ตนเองแท้งลูก 80,000<br />
302 วรรคแรก ทำให้หญิงแท้งลูกโดยหญิงยินยอม 90,000<br />
วรรคสอง เป็นเหตุให้หญิงรับอันตรายสาหัส 100,000<br />
วรรคสาม เป็นเหตุให้หญิงถึงแก่ความตาย 120,000<br />
303 วรรคแรก ทำให้หญิงแท้งลูกโดยหญิงไม่ยินยอม 100,000<br />
วรรคสอง เป็นเหตุให้หญิงรับอันตรายสาหัส 120,000<br />
วรรคสาม เป็นเหตุให้หญิงถึงแก่ความตาย 200,000<br />
306 ทอดทิ้งเด็กอายุยังไม่เกินเก้าปี 50,000<br />
307 ทอดทิ้งบุคคลซึ่งพึ่งตนเองมิได้ 50,000<br />
309 วรรคแรก ข่มขืนใจ 80,000<br />
วรรคสอง ข่มขืนใจมีอาวุธ ฯ 90,000<br />
วรรคสาม อ้างอั้งยี่หรือซ่องโจร 100,000<br />
310 หน่วงเหนี่ยวกักขังผู้อื่น 80,000<br />
310 ทวิ หน่วงเหนี่ยวกักขังผู้อื่นเพื่อให้กระทำการอย่างใด 90,000<br />
311 วรรคแรก ประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถูกหน่วงเหนี่ยวกักขัง 30,000<br />
วรรคสอง ผู้ถูกหน่วงเหนี่ยวกักขังถึงแก่ความตาย 120,000<br />
ผู้ถูกหน่วงเหนี่ยวกักขังรับอันตรายสาหัส 50,000<br />
312 เอาคนลงเป็นทาส 100,000<br />
312 ทวิ วรรคแรก กระทำต่อเด็กอายุไม่เกินสิบห้าปี 120,000<br />
วรรคสอง เป็นเหตุให้ผู้ถูกกระทำ <br />
(1) รับอันตรายแก่กาย 200,000<br />
(2) รับอันตรายสาหัส 350,000<br />
(3) ถึงแก่ความตาย 500,000<br />
312 ตรี วรรคแรก โดยทุจริตรับไว้ จำหน่าย เป็นธุระจัดหา ฯ 90,000<br />
วรรคสอง ถ้ากระทำต่อเด็กอายุไม่เกินสิบห้าปี 100,000<br />
313 วรรคแรก เรียกค่าไถ่ 400,000<br />
วรรคสอง ผู้ถูกกักขังรับอันตรายสาหัส ฯ 450,000<br />
วรรคสาม ผู้ถูกกักขังถึงแก่ความตาย 500,000<br />
315 คนกลางเรียกทรัพย์สิน 350,000<br />
317 วรรคแรก พรากเด็กอายุไม่เกินสิบห้าปี 180,000<br />
วรรคสาม เพื่อหากำไรฯ 200,000<br />
318 วรรคแรก พรากผู้เยาว์อายุกว่าสิบห้าปี ไม่เกินสิบแปดปี 150,000<br />
วรรคสาม เพื่อหากำไรฯ 180,000<br />
319 วรรคแรก พรากผู้เยาว์อายุกว่าสิบห้าปี ไม่เกินสิบแปดปี 150,000<br />
เพื่อหากำไร โดยผู้เยาว์เต็มใจ <br />
320 วรรคแรก พาหรือส่งคนออกไปนอกราชอาณาจักร 150,000<br />
วรรคสอง เพื่อให้ตกอยู่ในอำนาจของผู้อื่นโดยมิชอบ 180,000<br />
322 เปิดผนึกจดหมาย โทรเลขหรือเอกสารของผู้อื่นเพื่อล่วงรู้ 20,000<br />
ข้อความหรือเพื่อนำข้อความออกเปิดเผย <br />
323 เปิดเผยความลับของผู้อื่นซึ่งล่วงรู้หรือได้มาโดยเหตุที่เป็น 20,000<br />
เจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่ฯ <br />
324 เปิดเผยความลับของผู้อื่นซึ่งล่วงรู้หรือได้มาโดยเหตุที่เป็น 20,000<br />
ผู้มีตำแหน่ง วิชาชีพหรืออาชีพอันเป็นที่ไว้วางใจ <br />
326 หมิ่นประมาท 30,000<br />
327 หมิ่นประมาทผู้ตาย 30,000<br />
328 หมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา 50,000<br />
334 ลักทรัพย์ 50,000<br />
335 วรรคแรก ลักทรัพย์อนุมาตราเดียว 90,000<br />
วรรคสอง สองอนุมาตรา 100,000<br />
วรรคสาม ทำต่อโค กระบือ เครื่องกล 120,000<br />
335 ทวิ วรรคแรก ลักพระพุทธรูป 150,000<br />
วรรคสอง กระทำในวัด สำนักสงฆ์ 180,000<br />
336 วรรคแรก วิ่งราวทรัพย์ 90,000<br />
วรรคสอง รับอันตรายแก่กาย 100,000<br />
วรรคสาม รับอันตรายสาหัส 120,000<br />
วรรคสี่ ถึงแก่ความตาย 200,000<br />
336 ทวิ ลักทรัพย์โดยใช้ยานพาหนะ 150,000<br />
337 วรรคแรก กรรโชก 90,000<br />
วรรคสอง ขู่จะฆ่าหรือมีอาวุธ 100,000<br />
338 รีดเอาทรัพย์ 120,000<br />
339 วรรคแรก ชิงทรัพย์ 150,000<br />
วรรคสอง เข้า ม. 335 หรือทำต่อโค ฯ 180,000<br />
วรรคสาม รับอันตรายแก่กาย 200,000<br />
วรรคสี่ รับอันตรายสาหัส 200,000<br />
วรรคห้า ถึงแก่ความตาย 500,000<br />
339 ทวิ วรรคแรก ชิงทรัพย์ต่อทรัพย์ตาม ม. 335 ทวิ วรรคแรก 180,000<br />
วรรคสอง ในสถานที่ตาม ม. 335 ทวิ วรรคสอง 200,000<br />
วรรคสาม รับอันตรายแก่กาย 200,000<br />
วรรคสี่ รับอันตรายสาหัส 350,000<br />
วรรคห้า ถึงแก่ความตาย 500,000<br />
340 วรรคแรก ปล้นทรัพย์ 200,000<br />
วรรคสอง มีอาวุธ 300,000<br />
วรรคสาม รับอันตรายสาหัส 400,000<br />
วรรคสี่ โดยแสดงความทารุณฯ 400,000<br />
วรรคห้า ถึงแก่ความตาย 500,000<br />
340 ทวิ วรรคแรก ปล้นกระทำต่อทรัพย์ตาม ม.335 ทวิ วรรคแรก 300,000<br />
วรรคสอง ในสถานที่ตาม ม.335 ทวิ วรรคสอง 300,000<br />
วรรคสาม มีอาวุธติดตัว 300,000<br />
วรรคสี่ รับอันตรายสาหัส 400,000<br />
วรรคห้า โดยแสดงความทารุณฯ 500,000<br />
วรรคหก ถึงแก่ความตาย 500,000<br />
341 ฉ้อโกง 50,000<br />
342 ฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นบุคคลอื่น ฯ 90,000<br />
343 วรรคแรก ฉัอโกงประชาชน 90,000<br />
วรรคสอง ต้องด้วย ม. 342 100,000<br />
345 ฉ้อโกงค่าอาหาร 5,000<br />
347 ฉ้อโกงการประกันวินาศภัย 90,000<br />
349 โกงผู้รับจำนำ 40,000<br />
350 โกงเจ้าหนี้ 40,000<br />
352 ยักยอก 40,000<br />
353 ยักยอกในฐานะเป็นผู้ได้รับมอบหมายให้จัดการทรัพย์สินฯ 40,000<br />
354 ยักยอกในฐานะเป็นผู้จัดการทรัพย์สินฯ 90,000<br />
357 วรรคแรก รับของโจร 90,000<br />
วรรคสอง เพื่อค้ากำไรฯ 120,000<br />
วรรคสาม กระทำต่อทรัพย์อันได้มาตาม ม. 335 ทวิ 180,000<br />
339 ทวิ 340 ทวิ <br />
358 ทำให้เสียทรัพย์ 50,000<br />
359 ทำให้เสียทรัพย์ต่อเครื่องกล ฯ 90,000<br />
360 ทำให้เสียทรัพย์ที่ใช้หรือมีไว้เพื่อสาธารณประโยชน์ 90,000<br />
360 ทวิ ทำให้เสียทรัพย์ตาม ม. 335 ทวิ วรรคแรก ฯ 120,000<br />
362 บุกรุก 30,000<br />
363 ยักย้ายหรือทำลายเครื่องหมายเขตแห่งอสังหาริมทรัพย์ 50,000<br />
365 บุกรุกมีเหตุฉกรรจ์ 90,000BTC Admin http://www.blogger.com/profile/17552179607270050206noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-224978953028537233.post-39030473271607522552015-05-20T00:13:00.000-07:002015-05-20T00:13:00.280-07:00การฟ้องคดีลูกหนี้ค่าส่วนกลาง “ไม่เสียค่าธรรมเนียมศาล”<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
</div>
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://2.bp.blogspot.com/-daLdXVthoC0/U1PyOIpzeWI/AAAAAAAASWg/hdmhyUCWTlI/s1600/130619112137_StatutoryBuilding.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="http://2.bp.blogspot.com/-daLdXVthoC0/U1PyOIpzeWI/AAAAAAAASWg/hdmhyUCWTlI/s1600/130619112137_StatutoryBuilding.jpg" /></a></div>
ความตามมาตรา 18 แห่งพรบ.อาคารชุด พ.ศ. 2522 บัญญัติว่า เจ้าของร่วมต้องร่วมกันออกค่าภาษีอากรตามอัตราส่วนที่เจ้าของร่วมแต่ละคนมีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์ส่วนกลางตามมาตรา 14<br />
<a name='more'></a><br />
<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>หากแปลข้างต้น หมายความว่า ทั้งผู้ที่เป็นเจ้าของร่วมรายย่อยหรือผู้ซื้อห้องชุดที่จดทะเบียนรับโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดกับผู้ขายห้องชุด รวมถึงห้องชุดที่ยังไม่ได้จดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม และอยู่ในนามของผู้ขายหรือผู้ประกอบการโครงการ ต่างมีหน้าที่ชำระค่าส่วนกลางตามข้อบังคับของนิติบุคคลอาคารชุดและพระราชบัญญัติอาคารชุด พ.ศ. 2522 และแก้ไข เพิ่มเติม พ.ศ. 2551<br />
<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>แต่ข้อเท็จจริงในทางปฏิบัติของนิติบุคคลอาคารชุด ส่วนใหญ่พบว่า มีเจ้าของร่วมหรือผู้ซื้อรายย่อยและผู้ขายห้องชุด เมื่อไม่มีการใช้ประโยชน์ในห้องชุดกลับไม่ยินยอมชำระค่าส่วนกลางให้กับนิติบุคคลอาคารชุด<br />
<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>ความตามมาตรา 18/1 แห่งพระราชบัญญัติอาคารชุด (ฉบับที่สี่) พ.ศ. 2551 บัญญัติว่าในกรณีที่เจ้าของร่วมไม่ชำระเงินตามมาตรา 18 ภายในเวลาที่กำหนดต้องเสีย “เงินเพิ่ม” ในอัตราไม่เกิน12%ต่อปีของจำนวนเงินที่ค้างชำระ โดยไม่คิดทบต้น ทั้งนี้ ตามที่กำหนดในข้อบังคับ<br />
<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>แต่มาตรา 18 ระบุว่า ตั้งแต่หกเดือนขึ้นไปต้องเสียเงินเพิ่มในอัตราไม่เกิน 20 % ต่อปี และอาจถูกระงับการให้บริการส่วนรวมหรือการใช้ทรัพย์ส่วนกลางตามที่กำหนดในข้อบังคับรวมทั้งไม่มีสิทธิออกเสียงในการประชุมใหญ่เจ้าของร่วม<br />
<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>กรณีมีเจ้าของร่วมจำนวนหลายราย หลายห้องชุด ค้างชำระค่าส่วนกลาง โดยที่ไม่มีผู้ใดเข้าใช้ประโยชน์ในห้องชุด นิติบุคคลอาคารชุดจำนวนไม่น้อยจึงคิดหาทางหรือมาตรการบังคับทางกฎหมาย ได้แก่ การฟ้องคดีลูกหนี้เจ้าของร่วมค้างชำระค่าส่วนกลางต่อศาล เพื่อขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งบังคับให้จำเลยชำระหนี้ ค่าส่วนกลาง เงินเพิ่มและดอกเบี้ยตามกฎหมายกำหนดให้แก่นิติบุคคลอาคารชุด<br />
<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>แต่ทั้งนี้ ก็มีกรณีที่นิติบุคคลอาคารชุด ไม่คิดดำเนินการใดๆ กับเจ้าของร่วมรายซึ่งค้างชำระค่าส่วนกลางเป็นเวลาหลายเดือนหรือหลายปี จะมีผลต่อ “งบประมาณ” และอาจเป็นตัวอย่างให้แก่รายอื่นที่ไม่ชำระค่าส่วนกลางก็ได้<br />
<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>ทั้งนี้ กรณีที่มีการประชุมเจ้าของร่วมเพื่อขอเรียกเก็บ “เงินพิเศษ” เพื่อดำเนินการฟ้องคดีลูกหนี้ค่าส่วนกลางต่อศาลนั้น จะต้องอาศัยคะแนนเสียงจำนวนไม่น้อยกว่า “หนึ่งในสี่” ของคะแนนเสียงของเจ้าของร่วมทั้งหมดตามมาตรา 43 แห่งพระราชบัญญัติอาคารชุด (ฉบับที่สี่) พ.ศ. 2551 แต่ก็มัจะพบปัญหาเรื่ององค์ประชุมไม่ครบ หรือมีจำนวนน้อย เป็นผลให้เจ้าของร่วมส่วนใหญ่ รายซึ่งไม่เข้าประชุมใหญ่โต้แย้งและคัดค้าน “มติที่ประชุม”<br />
<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>นิติบุคคลอาคารชุดบางแห่ง มีการฟ้องคดีเพิกถอนมติการประชุมใหญ่เจ้าของร่วม ทำให้เสียเวลาดำเนินการในชั้นโรงศาลอยู่นานพอสมควร<br />
<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>ผมมี “ทางออก” ให้กับเจ้าของร่วม คณะกรรมการและผู้จัดการของนิติบุคคลอาคารชุด ดำเนินการตามกฎหมายกับลูกหนี้เจ้าของร่วมค้างชำระค่าส่วนกลางตามข้อบังคับโดยอาศัยพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 ซึ่งผู้จัดการของนิติบุคคลอาคารชุด หรือผู้รับมอบอำนาจโดยความเห็นชอบของที่ประชุมคณะกรรมการสามารถฟ้องคดีต่อศาลได้ทั้งด้วยวาจาหรือเป็นหนังสือต่อเจ้าพนักงานคดีในเขตอำนาจศาลที่นิติบุคคลอาคารชุดตั้งอยู่<br />
<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>ที่สำคัญเมื่อมีการฟ้องคดีดังกล่าวต่อศาลแล้ว นิติบุคคลอาคารชุดในฐานะ “โจทก์” ไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมศาลและค่าใช้จ่ายอื่นๆ แต่อย่างใด อีกทั้งเมื่อศาลมี “คำพิพากษา” หรือ “คำสั่ง” ออกมาสามารถใช้เป็นบรรทัดฐานการฟ้องคดีลูกหนี้ค้างชำระค่าส่วนกลางรายอื่นต่อไปได้ด้วย<br />
<br />
ที่มา ผู้จัดการ OnlineBTC Admin http://www.blogger.com/profile/17552179607270050206noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-224978953028537233.post-66974778740503518082015-05-17T23:51:00.000-07:002015-05-17T23:51:00.035-07:00การประกันตัวในชั้นศาล<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://2.bp.blogspot.com/-pmCAK7SXo1o/VVRFpfCaIAI/AAAAAAAAZpA/TvOFkquKERc/s1600/bail.gif" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="195" src="http://2.bp.blogspot.com/-pmCAK7SXo1o/VVRFpfCaIAI/AAAAAAAAZpA/TvOFkquKERc/s320/bail.gif" width="320" /></a></div>
<br />
การขอประกันตัวในชั้นศาลมี 2 ช่วง<br />
ช่วงแรกเมื่อพนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการนำตัวผู้ต้องหามาขอฝากขังต่อศาลและศาลอนุญาตให้ขังซึ่งถือว่าผู้ต้องหาอยู่ในอำนาจควบคุมของศาลแล้ว<br />
<a name='more'></a><br />
<br />
<b>ช่วงที่สอง</b> คือ ช่วงที่ศาลประทับฟ้องของโจทก์ ผู้ต้องหามีสถานะเป็นจำเลยซึ่งต้องถูกควบคุมตัวอยู่ในอำนาจของศาล ดังนี้ หากผู้ประกันประสงค์จะขอให้ปล่อยชั่วคราวผู้ต้องหาหรือจำเลยก็จะต้องยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราวระหว่างสอบสวนหรือระหว่างพิจารณา แล้วแต่กรณีต่อศาล<br />
กำหนดเวลาที่ศาลอนุญาตให้ประกันมีดังนี้<br />
<br />
<b>ชั้นสอบสวน </b> มีกำหนดเวลาเท่ากับระยะเวลาที่ศาลอนุญาตให้ฝากขังจนกระทั่งมีการฟ้องหรือไม่ฟ้องคดี<br />
ชั้นพิจารณาของศาล สัญญาประกันใช้ได้จนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาหรือมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น<br />
เมื่อผู้ต้องหาหรือจำเลยถูกควบคุมตัวโดยศาล ผู้ประกันสามารถยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราวโดยใช้หลักประกันได้ดังนี้<br />
<br />
<table border="1" cellpadding="0" cellspacing="0">
<tbody>
<tr>
<td valign="top"><strong><span lang="th" xml:lang="th">หลักประกัน</span></strong><strong> </strong></td>
<td valign="top"><strong><span lang="th" xml:lang="th">เงื่อนไข</span></strong><strong>/<span lang="th" xml:lang="th">ลักษณะ</span></strong></td>
</tr>
<tr>
<td valign="top">1. <span lang="th" xml:lang="th">การใช้หลักทรัพย์เป็นประกัน</span></td>
<td valign="top">- <span dir="ltr"><span lang="th" xml:lang="th">เงินสด</span></span> <br />
- <span dir="ltr"><span lang="th" xml:lang="th">ที่ดินมีโฉนด หรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ซึ่งมีหนังสือรับรองราคาประเมินของสำนักงานที่ดิน ซึ่งไม่มีภาระผูกพันอันอาจกระทบต่อการบังคับคดี หากจะนำสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินมาเป็นประกันด้วยก็จะต้องแสดงสำเนาทะเบียนบ้านและหนังสือประเมินราคาสิ่งปลูกสร้างที่น่า เชื่อถือประกอบด้วย</span></span> <br />
- <span dir="ltr"><span lang="th" xml:lang="th">ห้องชุดมีโฉนดที่ดินและมีหนังสือกรรมสิทธิ์ห้องชุด และต้องไม่มีภาระผูกพันอันอาจกระทบต่อการบังคับคดีได้</span></span> <br />
- <span dir="ltr"><span lang="th" xml:lang="th">หลักทรัพย์มีค่าอย่างอื่นที่กำหนดราคา มูลค่าที่แน่นอนได้ เช่น</span></span> <br />
- <span lang="th" xml:lang="th">พันธบัตรรัฐบาล</span><br />
- <span lang="th" xml:lang="th">สลากออมสิน</span><br />
- <span lang="th" xml:lang="th">สลากออมทรัพย์ทวีสินของธนาคาร</span><br />
<span lang="th" xml:lang="th">เพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร</span><br />
- <span lang="th" xml:lang="th">ใบรับเงินฝากประจำของธนาคาร</span><br />
- <span lang="th" xml:lang="th">ตั๋วสัญญาใช้เงินที่ธนาคารเป็นผู้ออก</span><br />
- <span lang="th" xml:lang="th">ตั๋วแลกเงิน หรือเช็คที่ธนาคารเป็นผู้</span><br />
<span lang="th" xml:lang="th">สั่งจ่ายหรือรับรองซึ่งสามารถเรียก</span><br />
<span lang="th" xml:lang="th">เก็บเงินได้ในวันที่ทำสัญญาประกัน</span><br />
- <span lang="th" xml:lang="th">หนังสือรับรองของธนาคารเพื่อชำระ</span><br />
<span lang="th" xml:lang="th">เบี้ยปรับแทนในกรณีผิดสัญญาประกัน</span></td>
</tr>
<tr>
<td valign="top">2. <span lang="th" xml:lang="th">การใช้บุคคลเป็นประกัน</span></td>
<td valign="top"><h2>
<span lang="th" xml:lang="th">เป็นผู้ดำรงตำแหน่งหน้าที่การงานหรือมีรายได้แน่นอน เช่น</span></h2>
- <span dir="ltr"><span lang="th" xml:lang="th">ข้าราชการ ข้าราชการบำนาญ</span></span> <br />
- <span dir="ltr"><span lang="th" xml:lang="th">สมาชิกรัฐสภา</span></span> <br />
- <span dir="ltr"><span lang="th" xml:lang="th">ผู้บริหารราชการส่วนท้องถิ่น</span></span> <br />
- <span dir="ltr"><span lang="th" xml:lang="th">สมาชิกสภาท้องถิ่น</span></span> <br />
- <span dir="ltr"><span lang="th" xml:lang="th">พนักงานองค์การบริหารส่วนท้องถิ่น</span></span> <br />
- <span dir="ltr"><span lang="th" xml:lang="th">พนักงานรัฐวิสาหกิจ</span></span> <br />
- <span dir="ltr"><span lang="th" xml:lang="th">พนักงานของรัฐประเภทอื่น ๆ ลุกจ้างของทางราชการหรือรัฐวิสาหกิจ</span></span> <br />
- <span dir="ltr"><span lang="th" xml:lang="th">ผู้บริหารพรรคการเมือง</span></span> <br />
- <span dir="ltr"><span lang="th" xml:lang="th">ทนายความ</span></span> <br />
<span lang="th" xml:lang="th">และเป็นผู้มีความสัมพันธ์กับผู้ต้องหาหรือจำเลย ได้แก่</span><br />
- <span dir="ltr"><span lang="th" xml:lang="th">บุพการี ผู้สืบสันดาน สามี ภริยา ญาติ</span></span><br />
<span lang="th" xml:lang="th">พี่น้อง</span><br />
- <span dir="ltr"><span lang="th" xml:lang="th">ผู้บังคับบัญชา นายจ้าง</span></span> <br />
- <span dir="ltr"><span lang="th" xml:lang="th">บุคคลที่เกี่ยวพันโดยทางสมรส หรือ</span></span> <br />
- <span dir="ltr"><span lang="th" xml:lang="th">บุคคลที่ศาลเห็นว่ามีความสัมพันธ์ใกล้ชิดเสมือนเป็นญาติพี่น้องหรือมีความสัมพันธ์ในทางอื่นที่ศาลเห็นสมควรให้ประกันได้</span></span> <br />
<h3>
<span lang="th" xml:lang="th">อัตราหลักประกัน</span></h3>
- <span lang="th" xml:lang="th">ทำสัญญาประกันได้ในวงเงินไม่เกิน </span>10 <span lang="th" xml:lang="th">เท่า</span><br />
<span lang="th" xml:lang="th">ของอัตราเงินเดือนหรือรายได้เฉลี่ยต่อเดือน</span><br />
<span lang="th" xml:lang="th">หากวงเงินประกันมียอดสูงกว่าวงเงินที่ผู้นั้น</span><br />
<span lang="th" xml:lang="th">มีสิทธิประกันได้ ศาลอาจกำหนดให้ผู้ขอ</span><br />
<span lang="th" xml:lang="th">ประกันวางเงินหรือหลักทรัพย์อื่นเพิ่มเติมให้</span><br />
<span lang="th" xml:lang="th">เพียงพอกับวงเงินประกันนั้นได้ หรืออาจให้</span><br />
<span lang="th" xml:lang="th">มีผู้ขอประกันหลายคนร่วมกันทำสัญญา</span><br />
<span lang="th" xml:lang="th">ประกันโดยใช้วงเงินของแต่ละคนรวมกันได้</span></td>
</tr>
</tbody>
</table>
<br />
หลักฐานที่ต้องนำมาแสดงในการขอประกันตัว<br />
- บัตรประชาชน บัตรข้าราชการ หรือบัตรแสดงตำแหน่งหน้าที่การงาน ทะเบียนบ้านของจำเลยและผู้ประกันพร้อมสำเนา<br />
- หลักทรัพย์ เช่น โฉนดที่ดิน หนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3ก) เงินสด บัญชีเงินฝาก<br />
- หนังสือรับรองจากต้นสังกัดหรือนายจ้าง (กรณีขอประกันตัวด้วยตำแหน่งหน้าที่)<br />
- หนังสือรับรองราคาประเมิน (กรณีใช้โฉนดที่ดิน, หนังสือรับรองการทำประโยชน์เป็นระกัน)<br />
- หนังสือรับรองจากธนาคาร (กรณีใช้สมุดเงินฝากเป็นประกัน)<br />
- หลักฐานการยินยอมของคู่สมรส (กรณีผู้ประกันมีคู่สมรส)<br />
<br />
หลักเกณฑ์ในการสั่งคำร้องขอประกัน<br />
เมื่อยื่นคำร้องขอประกันแล้ว ศาลจะพิจารณาเรื่องเหล่านี้ ประกอบในการ<br />
พิจารณาสั่งคำร้อง คือ<br />
1. ความหนักเบาแห่งข้อหา<br />
2. พยานหลักฐานที่นำสืบแล้วมีเพียงใด<br />
3. พฤติการณ์ต่างๆ แห่งคดีเป็นอย่างไร<br />
4. เชื่อถือผู้ร้องขอประกันหรือหลักประกันได้เพียงใด<br />
5. ผู้ต้องหาหรือจำเลยน่าจะหลบหนีหรือไม่<br />
6. ภัยอันตรายหรือความเสียหายที่จะเกิดขึ้นจากการปล่อยชั่วคราวมีเพียงใด<br />
7. คำคัดค้านของพนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการ<br />
<br />
ขั้นตอนการขอประกันตัวผู้ต้องหาหรือจำเลย<br />
1. ขอแบบพิมพ์คำร้องขอประกันตัวได้จากเจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ของศาล<br />
2. เขียนคำร้องขอประกันตัวได้เอง โดยขอคำแนะนำหรือดูตัวอย่างได้จาก <br />
เจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ หากผู้ขอประกันเขียนหนังสือไม่ได้เจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์จะช่วยเขียนให้โดยไม่ต้องเสียค่าตอบแทนแต่ประการใด<br />
3. ให้ผู้ต้องหาหรือจำเลยลงชื่อในคำร้องขอประกันตัว หากผู้ต้องหาหรือจำเลย<br />
มิได้ถูกขังอยู่ที่ศาลเป็นหน้าที่ของนายประกันที่จะต้องนำคำร้องไปให้จำเลยหรือผู้ต้องหา ลงชื่อ<br />
4. นายประกันยื่นคำร้องขอประกันตัวพร้อมหลักฐานต่างๆ ที่เจ้าหน้าที่<br />
ประชาสัมพันธ์<br />
5. เมื่อเจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ได้ตรวจคำร้องและหลักฐานเรียบร้อยแล้วจะลง<br />
บัญชีรับเรื่องไว้เป็นหลักฐาน แล้วนำเสนอคำร้องต่อผู้พิพากษาเพื่อพิจารณาสั่งคำร้อง เมื่อผู้พิพากษาสั่งคำร้องแล้วจะส่งคำร้องขอประกันกลับคืนไปที่เจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์<br />
6. เจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์จะแจ้งคำสั่งของศาลให้นายประกันทราบ<br />
7. หากศาลมีคำสั่งอนุญาตให้ประกัน นายประกันอาจต้องวางเงินประกัน <br />
ค่าใช้จ่ายในการบังคับคดี โดยเจ้าหน้าที่จะออกใบรับหลักฐานการขอประกันและใบรับเงินให้<br />
8. เมื่อศาลมีคำสั่งอนุญาตให้ประกันแล้ว ถ้าผู้ต้องหาหรือจำเลยถูกควบคุมตัว<br />
อยู่ที่ศาลและยังไม่มีการออกหมายขังไว้เลย จะนำตัวผู้ต้องหาหรือจำเลยออกจากห้อง ควบคุมในศาลได้เลย ถ้าหากผู้ต้องหาหรือจำเลยอยู่ระหว่างถูกขังตามหมายศาล เจ้าหน้าที่จะนำหมายปล่อยไปปล่อย ณ ที่ถูกคุมขัง<br />
9. ผู้ต้องหาหรือจำเลยจะถูกปล่อยตัวในวันที่ศาลมีคำสั่งอนุญาตให้ประกันตัว<br />
10. หากศาลไม่อนุญาตให้ประกัน ผู้ขอประกันขอรับหลักทรัพย์ที่ยื่นไว้คืนได้<br />
จากเจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์<br />
11. การขอประกันในระหว่างอุทธรณ์หรือฎีกา ใช้หลักเกณฑ์เช่นเดียวกับที่<br />
กล่าวมาแล้ว แต่ศาลอาจใช้ดุลพินิจเพิ่มหลักประกันจากของศาลชั้นต้นได้<br />
<br />
<b>การขอรับหลักทรัพย์หรือเงินสดคืนจากศาล</b><br />
เมื่อคดีถึงที่สุด หรือศาลอนุญาตให้ถอนประกัน หรือสัญญาประกันสิ้นสุดลงด้วยเหตุอื่น ความรับผิดตามสัญญาประกันสิ้นสุดลง นายประกันสามารถขอหลักประกันคืนได้ทันทีโดยยื่นคำร้องขอต่อศาลและแนบหลักฐานคือใบรับหลักฐานและใบรับเงิน ที่ศาลออกให้เมื่อครั้งยื่นขอปล่อยชั่วคราว หากใบรับหลักฐานหรือใบรับเงินสูญหาย ต้องแจ้งความต่อเจ้าพนักงานตำรวจและนำใบรับแจ้งความมาแสดงต่อศาล โดยปกติแล้วนายประกันต้องยื่นคำร้องด้วยตนเอง หากไม่สามารถมารับได้ด้วยตนเองสามารถมอบฉันทะให้ผู้อื่นมารับหลักทรัพย์หรือเงินสดแทนได้ โดยใบมอบฉันทะขอได้ที่เจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ของศาล<br />
<br />
<b>การมอบฉันทะให้ส่งตัวจำเลยหรือผู้ต้องหา</b><br />
ในกรณีที่ศาลมีคำสั่งอนุญาตให้นายประกันได้ประกันตัวจำเลยหรือผู้ต้องหาไป<br />
นายประกันมีหน้าที่ต้องส่งตัวผู้ต้องหาหรือจำเลยต่อศาลตามกำหนดนัดของศาลทุกครั้ง แต่<br />
หากนายประกันไม่สามารถมาศาลได้ นายประกันอาจมอบฉันทะให้บุคคลอื่นส่งตัวผู้ต้องหา<br />
หรือจำเลยต่อศาลแทนได้โดยขอแบบฟอร์มใบมอบฉันทะได้ที่เจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ของ<br />
ศาล<br />
<br />
<b> การขอถอนประกัน</b><br />
นายประกันอาจขอถอนประกันได้เสมอโดยต้องส่งตัวผู้ต้องหาหรือจำเลย <br />
ต่อศาล เมื่อศาลได้อนุญาต ความรับผิดชอบตามสัญญาประกันเป็นอันสิ้นสุดลง<br />
ในกรณีที่ศาลพิพากษาลงโทษปรับอย่างเดียว ถ้าจำเลยไม่สามารถชำระค่าปรับ<br />
จะต้องถูกขังแทนค่าปรับในอัตราวันละ 200 บาท กรณีนี้จำเลยอาจยื่นขอประกันเพื่อ<br />
ไปหาเงินมาชำระค่าปรับได้<br />
<br />
<b>กรณีศาลสั่งปรับนายประกัน</b><br />
ในกรณีที่ศาลสั่งปรับนายประกันตามสัญญาประกัน นายประกันจะต้องนำเงิน<br />
ค่าปรับมาชำระต่อศาลภายในระยะเวลาที่ศาลกำหนดมิฉะนั้นศาลจะสั่งยึดหลักประกัน<br />
ขายทอดตลาดเพื่อนำเงินมาชำระค่าปรับต่อไป และถ้าได้เงินไม่พอชำระค่าปรับศาล<br />
อาจยึดทรัพย์สินอื่น ๆ ของนายประกันมาขายทอดตลาดเพื่อชำระค่าปรับจนครบ <br />
นายประกันที่ศาลสั่งปรับตามสัญญาประกัน มีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งศาลได้ภายในกำหนด<br />
1 เดือน หรืออาจนำตัวจำเลยมาส่งศาลและขอลดค่าปรับต่อศาล<br />
<br />
<b>ข้อควรปฏิบัติสำหรับนายประกัน</b><br />
1. ให้ชื่อและที่อยู่อันแท้จริงต่อศาลหากมีการย้ายที่อยู่ต้องแจ้งให้ศาลทราบ<br />
โดยเร็ว<br />
2. เมื่อศาลอนุญาตให้ประกัน นายประกันต้องลงลายมือชื่อในสัญญาประกัน<br />
ไว้เป็นหลักฐานและต้องลงชื่อทราบกำหนดวันเวลาส่งตัวผู้ต้องหาหรือจำเลยมายังศาล<br />
ด้วย<br />
3. ส่งตัวผู้ต้องหาหรือจำเลยต่อศาลตามกำหนดนัดในชั้นผัดฟ้องฝากขัง<br />
นายประกันต้องนำตัวผู้ต้องหาหรือจำเลยมาศาลในวันครบกำหนดผัดฟ้องฝากขัง <br />
แต่ละครั้ง เมื่อศาลนัดให้จำเลยไปศาลในวันใด ไม่ว่าจะเป็นวันนัดสืบพยาน นัดฟัง <br />
คำพิพากษา นัดสอบถาม หรือนัดเพื่อการอื่นใด นายประกันต้องนำจำเลยไปส่งศาล<br />
ทุกครั้ง หากนายประกันผิดนัดไม่สามารถนำผู้ต้องหาหรือจำเลยไปศาลตามที่กล่าว<br />
ข้างต้นศาลอาจถอนประกันและปรับนายประกันตามสัญญาทันที ฉะนั้นนายประกัน <br />
จึงต้องคอยติดตามอยู่เสมอว่าผู้ต้องหาหรือจำเลยอยู่ที่ใดในระหว่างประกันตัว<br />
<br />
ที่มา หอสมุดสำนักงานศาลยุติธรรมBTC Admin http://www.blogger.com/profile/17552179607270050206noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-224978953028537233.post-54833077190081250542015-05-17T18:00:00.000-07:002015-05-17T18:00:01.149-07:00ค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีแพ่ง<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://3.bp.blogspot.com/-uOUzr7djuvg/VVRBmglS28I/AAAAAAAAZo0/EP5BuB3-sgI/s1600/13938432531645.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="194" src="http://3.bp.blogspot.com/-uOUzr7djuvg/VVRBmglS28I/AAAAAAAAZo0/EP5BuB3-sgI/s320/13938432531645.jpg" width="320" /></a></div>
<br />
1. ค่าขึ้นศาล<br />
คดีที่มีทุนทรัพย์ ได้แก่ คดีที่โจทก์เรียกร้องโดยมีคำขอปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ เช่น คดีที่มีคำขอเรียกร้องเงินหรือทรัพย์สินซึ่งยังมิได้เป็นของตนจากผู้อื่นมาเป็นของตน โดยจำนวนเงินหรือราคาทรัพย์ที่เรียกร้องนั้นถือเป็นทุนทรัพย์<br />
<br />
<a name='more'></a><br /><br />
สำหรับค่าขึ้นศาลในคดีที่มีทุนทรัพย์โจทก์ต้องเสียอัตราร้อยละ 2.50 บาท ของจำนวนทุนทรัพย์ แต่ไม่เกิน 200,000 บาท<br />
คดีไม่มีทุนทรัพย์ คือ คดีที่โจทก์มีคำขอปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ เช่น ขอให้บังคับจำเลยให้กระทำการหรือละเว้นกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อประโยชน์ของโจทก์ โดยโจทก์ไม่ได้อ้างหรือเรียกร้องเป็นจำนวนเงินหรือทรัพย์สินอย่างใดอย่างหนึ่ง<br />
สำหรับค่าขึ้นศาลในคดีไม่มีทุนทรัพย์โจทก์ต้องเสียเรื่องละ 200 บาท<br />
ในกรณีเป็นคดีมีทุนทรัพย์กับไม่มีทุนทรัพย์รวมอยู่ในคดีเดียวกันให้คิดค่าขึ้นศาลในอัตราร้อยละ 2.50 บาท ของจำนวนทุนทรัพย์ที่เรียกร้องโดยเป็นเงินอย่างต่ำ 200 บาท แต่ไม่เกิน 200,000 บาท<br />
คำฟ้องขอให้ศาลบังคับตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ คิดค่าขึ้นศาลอัตราร้อยละ 1 บาท ตามจำนวนทุนทรัพย์ที่อนุญาโตตุลาการกำหนดไว้ในคำชี้ขาดแต่ไม่เกิน 80,000 บาท<br />
คำฟ้องขอให้บังคับจำนองหรือบังคับเอาทรัพย์สินจำนองหลุด คิดค่าขึ้นศาลตามจำนวนหนี้ที่เรียกร้องในอัตราร้อยละ 1 บาท แต่ไม่เกิน 100, 000 บาท<br />
อุทธรณ์หรือฎีกาคำสั่งศาล ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 227 หรือ 228 เสียค่าขึ้นศาลเรื่องละ 200 บาท<br />
ค่าขึ้นศาลในอนาคต (เกี่ยวกับค่าเช่า ดอกเบี้ย ค่าเสียหาย ) เช่นถ้าไม่ได้ขอดอกเบี้ยก่อนฟ้อง แต่ขอดอกเบี้ยนับแต่วันฟ้องจนถึงวันชำระเสร็จ ต้องเสียค่าขึ้นศาลอนาคตอีก 100 บาท<br />
<br />
<br />
ค่าขึ้นศาลเพิ่มขึ้น<br />
ตามปกติศาลจะคำนวณค่าขึ้นศาลเมื่อโจทก์ยื่นฟ้อง แต่ถ้าต่อมามีการแก้ไขคำฟ้องหรือมีเหตุประการอื่นอันทำให้จำนวนทุนทรัพย์เพิ่มขึ้นโจทก์ต้องเสียค่าขึ้นศาลเพิ่มขึ้นตามจำนวนทุนทรัพย์ที่เพิ่มนั้น<br />
วิธีคำนวณค่าขึ้นศาล<br />
ในการคำนวณค่าขึ้นศาลถ้าทุนทรัพย์ไม่ถึง 100 บาท ให้นับเป็น 100 เศษของ 100 บาท ถ้าถึง 50 บาท ให้นับเป็น 100 ถ้าต่ำกว่า 50 บาท ให้ปัดทิ้ง<br />
การคำนวณมีวิธีการง่ายๆ คือ ให้นำทุนทรัพย์ตั้งแล้ว หารด้วย 40<br />
เช่น ทุนทรัพย์ = 21,050 บาท<br />
วิธีคิด = 21,100 บาท หารด้วย 40<br />
คิดเป็นค่าขึ้นศาล = 527.50 บาท<br />
<br />
2. ค่าธรรมเนียมอื่นๆ ในคดีแพ่ง<br />
คำร้อง 20 บาท<br />
คำขอ 10 บาท<br />
คำแถลง - บาท<br />
ใบแต่งทนาย 20 บาท<br />
- ค่าอ้างเอกสารเป็นพยานฉบับละ 5 บาท สูงสุดไม่เกิน 200 บาท<br />
- ค่ารับรองสำเนาเอกสาร โดยผู้อำนวยการสำนักงานศาล 20 บาท<br />
- ค่าใบสำคัญแสดงว่าคดีถึงที่สุด 15 บาท<br />
<br />
การขอยกเว้นค่าธรรมเนียมศาล<br />
กรณีที่โจทก์หรือจำเลยเป็นคนยากจน ไม่มีทรัพย์สินพอจะเสียค่าธรรมเนียมศาล โจทก์หรือจำเลยอาจยื่นคำร้องขออนุญาตยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลได้ เรียกว่าการฟ้องหรือต่อสู้คดีอย่างคนอนาถา ซึ่งขอได้ทุกระดับชั้นศาล<br />
<br />
ผู้ขอจะต้องยื่นคำร้องต่อศาลพร้อมกับคำฟ้อง คำฟ้องอุทธรณ์ คำฟ้องฎีกา หรือคำให้การ และสาบานตัวต่อเจ้าหน้าที่ศาลว่า ไม่มีทรัพย์สินพอจะเสียค่าธรรมเนียมศาล ซึ่งเจ้าหน้าที่ศาลจะบันทึกถ้อยคำสาบานเอาไว้ศาลจะฟังคู่ความทุกฝ่ายโดยไต่สวนก่อนพิจารณาสั่ง<br />
<br />
ถ้าศาลอนุญาตให้ฟ้องหรือต่อสู้คดีอย่างคนอนาถาทั้งหมด ผู้นั้นไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมในการดำเนินกระบวนพิจารณาของศาล ซึ่งรวมถึงเงินวางศาล อันได้แก่เงินค่าฤชาธรรมเนียมที่ต้องใช้แก่ฝ่ายชนะคดีในศาลล่างสำหรับการยื่นฟ้องอุทธรณ์ หรือฎีกา<br />
<br />
แต่ถ้าศาลอนุญาตให้ฟ้องหรือต่อสู้คดีอย่างคนอนาถาเพียงบางส่วนผู้นั้นจะได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลเฉพาะส่วนที่ศาลสั่งยกเว้นให้<br />
3. ค่าใช้จ่ายอื่น ในการดำเนินคดีแพ่ง คู่ความอาจต้องเสียค่าใช้จ่ายอื่นๆ อีก เช่น ค่าส่งหมาย ค่าทำแผนที่พิพาท ค่าป่วยการและค่าพาหนะพยาน ค่าตรวจเอกสารโดยผู้เชี่ยวชาญ เป็นต้นBTC Admin http://www.blogger.com/profile/17552179607270050206noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-224978953028537233.post-721207966858628712015-05-15T07:00:00.000-07:002015-05-15T07:00:00.903-07:00 การฟ้องศาลในคดีแพ่ง<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://2.bp.blogspot.com/-pu5hqAFQSLk/VVRAozscMSI/AAAAAAAAZoo/hGhdfkWXmF0/s1600/disability-lawyer.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="161" src="http://2.bp.blogspot.com/-pu5hqAFQSLk/VVRAozscMSI/AAAAAAAAZoo/hGhdfkWXmF0/s200/disability-lawyer.jpg" width="200" /></a></div>
ในคดีแพ่งเป็นคดีที่ไม่ต้องแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจเช่นคดีอาญา แต่คดีแพ่งผู้เสียหาย<br />
หรือผู้ที่มีส่วนได้เสียจะต้องเป็นผู้ดำเนินคดี โดยการฟ้องร้องต่อศาลเอง ซึ่งส่วนใหญ่ผู้ที่ฟ้องร้อง<br />
ในคดีแพ่งต่อศาลมักจะมอบหมายให้ทนายความเป็นตัวแทนในการฟ้องร้อง เนื่องจากมีความรู้ทาง<br />
ด้านกฎหมาย สามารถที่จะต่อสู้คดีได้ การฟ้องร้องในทาง แพ่งมีลักษณะที่เราจะฟ้องร้อง ต่อศาล<br />
ให้พิจารณาออกคำสั่ง และตัดสินได้ดังนี้<br />
<br />
<a name='more'></a><br />
<br />
1. การร้องต่อศาลฝ่ายเดียว ซึ่งการร้องฝ่ายเดียวนี้เป็นการร้องขอต่อศาลโดยไม่มีคู่กรณี เพื่อให้<br />
ศาลออกคำสั่งตามที่ตนต้องการ เช่น การร้องต่อศาลเพื่อให้แต่งตั้งตนเองเป็นผู้จัดการมรดก การร้อง<br />
ต่อศาลในการอายัดทรัพย์เพื่อชำระหนี้ การร้องต่อศาล เพื่อสั่งให้ทำการสมรส การร้องต่อศาล<br />
ฝ่ายเดียวหรือการร้องต่อศาลโดยไม่มีคู่กรณี ผู้ร้องไม่ต้องแต่งตั้งทนายก็ได้เพียงแต่ไปปรึกษากับ<br />
เจ้าหน้าที่ธุรการศาลเพื่อขอคำแนะนำช่วยเหลือทางเจ้าหน้าที่ธุรการศาลจะช่วยดำเนินการได้<br />
<br />
2. การฟ้องต่อศาลในคดีแพ่งโดยมีคู่กรณี 2 ฝ่าย ฝ่ายที่ฟ้องจะเป็นฝ่ายที่เสียหายซึ่งเรียกกันว่า<br />
ฝ่ายโจทก์ และฝ่ายที่ถูกฟ้องจะเป็นฝ่ายจำเลย เมื่อเกิดคดีในทางแพ่ง ฝ่ายโจทก์จะไปแจ้งความต่อ<br />
เจ้าหน้าที่ตำรวจ เช่น คดีอาญาไม่ได้ ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจะไม่รับแจ้งความ เคยมีคดีความทางแพ่ง<br />
ที่ไปแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่บ่อย ๆ ได้แก่คดีที่สามีภรรยาต้องการหย่าขาดจากกันก็พากัน<br />
ไปแจ้งความประสงค์ที่จะหย่าขาดจากการเป็นสามีภรรยากันทางเจ้าหน้าที่ตำรวจต้องแจ้งให้<br />
ทราบว่าตนเองไม่มีอำนาจรับแจ้งความในเรื่องการหย่า ต้องไปแจ้งความประสงค์การหย่ากัน<br />
ที่อำเภอ และถ้าหากฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดไม่ยินยอมหย่า จะต้องฟ้องร้องต่อศาลเพื่อพิจารณาการหย่า<br />
การฟ้องคดีแพ่งที่มีคู่กรณี ปกติฝ่ายโจทก์มักจะหาทนายความเพื่อปรึกษาปัญหาต่าง ๆ ทางด้านกฎหมาย<br />
และแต่งตั้งทนายความให้เป็นผู้ฟ้องร้องคดีต่อศาลแทน ซึ่งการฟ้องคดีแพ่งที่กรุงเทพมหานคร จะฟ้องร้อง<br />
ต่อศาลแพ่ง และศาลแพ่งธนบุรี ถ้าอยู่เขตฝั่งธนบุรีเดิม ส่วนในต่างจังหวัดก็ฟ้องร้องต่อศาลจังหวัดนั้น<br />
<br />
3. การฟ้องคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา ตามปกติเมื่อเกิดคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาจะฟ้อง<br />
คดีแพ่งควบคู่กับไปคดีอาญาต่อศาลอาญาที่รับฟ้องคดีอาญา เช่น โจรวิ่งราวทรัพย์สร้อยคอทองคำของผู้หญิง<br />
คนหนึ่งซึ่งยืนรอรถประจำทางอยู่ และได้นำสร้อยคอไปขาย ต่อมาโจรวิ่งราว ทรัพย์ผู้นั้นถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจ<br />
ตามจับได้ และให้การรับสารภาพ เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงนำสำนวนการสอบสวน และโจรวิ่งราวทรัพย์ผู้นั้น<br />
ส่งให้อัยการเพื่อดำเนินการส่งฟ้องศาล การกระทำผิดวิ่งราวทรัพย์เป็นคดีความผิดทางอาญา ส่วนการนำ<br />
สร้อยคอ ทองคำไปขายเสียแล้ว ทางผู้เสียหายจะต้องได้สร้อยคำทองคำคืน การเรียกร้องที่จะได้สร้อยคอ<br />
ทองคำคืนเป็นคดีความทางแพ่ง คดีแพ่งลักษณะเช่นนี้จะฟ้องคดีแพ่งควบคู่ไปกับคดีอาญาได้เลยต่อศาล<br />
อาญาในเขตกรุงเทพฯ เดิม หรือศาลอาญาธนบุรีในเขตฝั่งธนบุรีเดิม แต่ถ้าเป็นคดีที่เกิดขึ้นในต่างจังหวัด<br />
ก็ฟ้องต่อศาลจังหวัดนั้น ดังแผนภูมิข้างล่าง<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://3.bp.blogspot.com/-zZdtWCqzwmE/VVQ-T-ukZgI/AAAAAAAAZoI/Sj9bTa4hne8/s1600/chart1.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="90" src="http://3.bp.blogspot.com/-zZdtWCqzwmE/VVQ-T-ukZgI/AAAAAAAAZoI/Sj9bTa4hne8/s320/chart1.jpg" width="320" /></a></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both;">
แต่ในการฟ้องคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา จะฟ้องคดีอาญาต่อศาลอาญาและฟ้องร้องทางแพ่ง </div>
<div class="separator" style="clear: both;">
ต่อศาลแพ่งต่างหากก็ย่อมทำได้ ตามแผนภูมิข้างล่าง</div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://1.bp.blogspot.com/-bzDKLLM3_Hk/VVQ-jYlYBzI/AAAAAAAAZoQ/9ns6zhwrawE/s1600/Cepter4-4.JPG" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="http://1.bp.blogspot.com/-bzDKLLM3_Hk/VVQ-jYlYBzI/AAAAAAAAZoQ/9ns6zhwrawE/s1600/Cepter4-4.JPG" /></a></div>
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://3.bp.blogspot.com/-zZdtWCqzwmE/VVQ-T-ukZgI/AAAAAAAAZoI/Sj9bTa4hne8/s1600/chart1.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="90" src="http://3.bp.blogspot.com/-zZdtWCqzwmE/VVQ-T-ukZgI/AAAAAAAAZoI/Sj9bTa4hne8/s320/chart1.jpg" width="320" /></a></div>
<div>
<br /></div>
<br />BTC Admin http://www.blogger.com/profile/17552179607270050206noreply@blogger.com1tag:blogger.com,1999:blog-224978953028537233.post-11799033456355578932015-05-13T21:56:00.001-07:002015-05-13T21:56:09.269-07:00ข้อควรระวังในการฟ้องคดี<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://2.bp.blogspot.com/-fE0rdSS8H34/VVQqZcPldXI/AAAAAAAAZn4/UWloLPpm0_s/s1600/1417186574-1394985070-o.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="180" src="http://2.bp.blogspot.com/-fE0rdSS8H34/VVQqZcPldXI/AAAAAAAAZn4/UWloLPpm0_s/s200/1417186574-1394985070-o.jpg" width="200" /></a></div>
<br />
โดยปกติการฟ้องคดีปกครองต่อศาลปกครองกลางจะไม่มีหลักเกณฑ์ ที่ซับซ้อนให้เป็น ภาระแก่ประชาชนผู้ประสงค์จะฟ้องคดี และการดำเนินคดีใน ศาลปกครองกลางก็ค่อนข้างยืดหยุ่น เพื่อให้การแสวงหาข้อเท็จจริงและพยานหลักฐาน มีความถูกต้องและครบถ้วนที่สุดแต่อย่างไรก็ตาม ในทางปฏิบัติมีปัญหาที่มักเกิดขึ้นและทำให้การฟ้องคดีและการดำเนินคดีในศาลปกครอง ล่าช้าเป็นที่เสียหายแก่ผู้ฟ้องคดีอยู่หลายประการ ซึ่งผู้ฟ้องคดีควรระมัดระวัง ดังนี้<br />
<a name='more'></a><br />
1. ข้อควรระวังในการจัดทำคำฟ้อง<br />
ด้วยเหตุที่การฟ้องคดีปกครอง ผู้ฟ้องคดีสามารถจัดทำคำฟ้องได้ด้วยตนเอง โดย ไม่จำเป็นต้องให้ทนายความ หรือผู้ที่มีความรู้ทางกฎหมายช่วยจัดทำคำฟ้องให้ ดังนั้น ผู้ฟ้องคดีที่ ไม่ได้ศึกษาหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของการฟ้องคดีปกครองตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครอง และวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 และระเบียบวิธีพิจารณาคดีปกครองที่เกี่ยวข้อง ก็อาจ จัดทำคำฟ้องได้ไม่ถูกต้องตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กฎหมายกำหนด และทำให้ศาลปกครอง กลางไม่อาจรับคำฟ้องดังกล่าวไว้พิจารณาพิพากษาได้ ซึ่งข้อบกพร่องที่พบบ่อยนั้น มีดังนี้<br />
<br />
1.1 ผู้ฟ้องคดีใช้ถ้อยคำไม่สุภาพ<br />
ศาลปกครองกลางตระหนักดีว่า ประชาชนผู้ได้รับความเดือดร้อนหรือเสียหายอาจมีความ รู้สึกคับข้องใจหรือโกรธเคืองหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้องแต่ศาล ย่อมไม่อาจรับคำ ฟ้องที่ไม่สุภาพไว้พิจารณาพิพากษาได้ดังนั้น หากคำ ฟ้องใดมีการใช้ ถ้อยคำไม่สุภาพ ศาลก็จะสั่งให้ผู้ฟ้องคดีแก้ไขคำฟ้องนั้นภายในระยะเวลาที่ศาลกำหนด และหาก ผู้ฟ้องคดีไม่ยอมดำเนินการศาลก็มีอำนาจสั่งไม่รับคำฟ้องไว้พิจารณาและสั่งจำหน่ายคดีออกจากสารบบความ<br />
<br />
1.2 ผู้ฟ้องคดีมีคำขอไม่ชัดเจน<br />
คำฟ้องของผู้ฟ้องคดีนอกจากจะต้องระบุรายละเอียดหรือรายการต่างๆ ตามที่กฎหมาย กำหนดไว้แล้ว ยังจะต้องระบุว่า ผู้ฟ้องคดีประสงค์จะขอให้ศาลบังคับต่อหน่วยงานทางปกครอง หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้องเพื่อแก้ไขหรือ บรรเทาความเดือดร้อนหรือความเสียหายอย่างไร ด้วย เช่น ขอให้ศาลสั่งเพิกถอนคำสั่งลงโทษทางวินัย หรือขอให้ศาลสั่งเพิกถอนคำสั่งปฏิเสธการ ออกโฉนดที่ดิน หรือขอให้ศาลสั่งเพิกถอนคำสั่งไม่อนุญาตให้ก่อสร้างอาคาร หรือขอให้ศาลสั่ง เพิกถอนหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง หรือขอให้ศาลสั่งให้กระทรวงคมนาคมจ่ายเงินค่าทดแทน การเวนคืนเพิ่มเติม เป็นต้น เพราะหากผู้ฟ้องคดีมิได้มีคำขอมาด้วยหรือมีแต่ไม่ชัดเจนเพียงพอที่ ศาลจะเข้าใจได้ ศาลก็จะต้องมีหนังสือกลับไปสอบถามผู้ฟ้องคดีอีกครั้งหนึ่งว่า มีความประสงค์จะ ให้ศาลสั่งเช่นใดหากผู้ฟ้องคดีชนะคดี ซึ่งย่อมทำให้เกิดขั้นตอนที่ทำให้คดีปกครองคดีนั้นล่าช้าได้<br />
<br />
1.3 ผู้ฟ้องคดีฟ้องคดีต่อศาลปกครองโดยยังมิได้ดำเนินการตามขั้นตอนหรือวิธีการ สำหรับการแก้ไขความเดือดร้อนหรือเสียหายที่กฎหมายกำหนดเสียก่อนฟ้องคดี<br />
ในการฟ้องคดีปกครองนั้น ผู้ฟ้องคดียังไม่มีสิทธิที่จะฟ้องคดีต่อศาลปกครองในทันทีที่ได้ รับความเดือดร้อนหรือเสียหาย แต่ผู้ฟ้องคดีจะต้องพิจารณาเสียก่อนว่า มีกฎหมายกำหนดขั้นตอน หรือวิธีการสำหรับการแก้ไขความเดือดร้อน หรือเสียหายในเรื่องนั้นไว้แล้วหรือไม่ หากมีกฎหมาย กำหนดขั้นตอนหรือวิธีการใดๆไว้เป็นการเฉพาะ ผู้ฟ้องคดีจะต้องปฏิบัติตามขั้นตอนที่กฎหมาย เฉพาะนั้นกำหนดไว้เสียก่อน เช่น กรณีผู้ฟ้องคดีเป็นข้าราชการตำรวจและได้รับคำสั่งลงโทษทางวินัย จากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ผู้ฟ้องคดีจะต้องอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวต่อ ก.ตร. ตามที่กฎหมายว่า ด้วยระเบียบข้าราชการตำรวจและกฎหมายว่าด้วยวินัยตำรวจกำหนดไว้เสียก่อน ในทำนองเดียว กันหากเป็นข้าราชการครูและได้รับคำสั่งลงโทษทางวินัยจากสำนักงานประถมศึกษาจังหวัด ก็จะต้อง อุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวต่อ อ.ก.ค. จังหวัด ตามที่กฎหมาย ว่าด้วยระเบียบข้าราชการครูกำหนดไว้ เป็นต้น หรือกรณีที่เป็นเรื่องของการเวนคืนที่ดิน หากผู้ฟ้องคดีถูกเวนคืนที่ดินเพื่อสร้างทางหลวง แต่ไม่พอใจจำนวนเงินทดแทนที่ได้รับ ผู้ฟ้องคดีก็จะต้องอุทธรณ์การกำหนดจำนวนเงินค่าทดแทน ดังกล่าวต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมเสียก่อนตามที่กฎหมายว่าด้วยการเวนคืน อสังหาริมทรัพย์ได้กำหนดไว้และเมื่อทราบผลการพิจารณาอุทธรณ์ในชั้นที่สุดแล้ว หากผู้ฟ้องคดี ยังไม่เห็นด้วย จึงจะมีสิทธินำเรื่องดังกล่าวมาฟ้องต่อ ศาลปกครองต่อไป นอกจากนั้น ในปัจจุบัน แม้จะเป็นกรณีที่มิได้มีกฎหมายเฉพาะกำหนดขั้นตอนการอุทธรณ์ภายในฝ่ายปกครองไว้ดังเช่น เรื่องวินัยหรือเรื่องการเวนคืนดังตัวอย่างที่ได้ยกมาแล้วข้างต้น กฎหมายว่าด้วยวิธีปฏิบัติราชการ ทางปกครองซึ่งเป็นกฎหมายกลางได้กำหนดบังคับไว้เป็นการทั่วไปว่า คำสั่งทางปกครองที่ไม่มี กฎหมายเฉพาะกำหนดขั้นตอนการอุทธรณ์ไว้ผู้ฟ้องคดีจะต้องยื่นอุทธรณ์คำสั่งทางปกครองที่ตน ไม่พอใจต่อผู้ออกคำสั่งทางปกครองนั้นเอง ภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ตนได้รับแจ้งคำสั่งทาง ปกครองดังกล่าว<br />
<br />
ดังนั้นโดยทั่วไปแล้วหากผู้ฟ้องคดีได้รับความเดือดร้อนหรือเสียหายอันเกิดจากการออก คำสั่งทางปกครองของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐก็ย่อมจะต้องอุทธรณ์คำสั่งทาง ปกครองนั้นก่อนเสมอ มิฉะนั้น จะไม่มีสิทธิ นำเรื่องดังกล่าวมาฟ้องคดีต่อศาลปกครองได้ และ หากยังจะยื่นคำฟ้องนั้นมาศาลก็จะมีคำสั่งไม่รับคำฟ้องนั้นไว้พิจารณา และจำหน่ายคดีนั้นออก จากสารบบความต่อไป<br />
<br />
2. ข้อควรระวังเกี่ยวกับคำฟ้องที่ยื่นฟ้องทางไปรษณีย์<br />
ในกรณีที่ผู้ฟ้องคดีเดินทางมายื่นฟ้องยังศาลปกครองกลางเจ้าหน้าที่ศาลปกครองฝ่าย<br />
รับฟ้องจะให้คำแนะนำแก่ ผู้ฟ้องคดีอย่างใกล้ชิด จึงไม่ค่อยมีข้อบกพร่องหรือปัญหาใดๆ มากนัก แต่สำหรับกรณีที่ผู้ฟ้องคดีได้ฟ้องคดีโดยส่งคำฟ้องทางไปรษณีย์ลงทะเบียนนั้น ผู้ฟ้องคดีมักจะเสียโอกาสที่จะได้รับการพิจารณาพิพากษาคดีด้วยเหตุต่างๆ ดังต่อไปนี้<br />
<br />
2.1 ผู้ฟ้องคดีไม่ได้ระบุชื่อผู้ฟ้องคดีในคำฟ้อง หรือใช้นามแฝงหรือฟ้องในนามตัวแทนของ กลุ่มใดกลุ่มหนึ่งโดยไม่ได้ระบุชื่อตัวชื่อสกุลจริง<br />
คำฟ้องที่มีลักษณะเช่นนี้ย่อมมีลักษณะเป็นบัตรสนเท่ห์ที่สำนักงานศาลปกครองไม่อาจเสนอ ต่อศาลเพื่อพิจารณา พิพากษาให้ได้ เพราะในกรณีเช่นนี้จะไม่มีตัวผู้ฟ้องคดีที่จะชี้แจงและให้ ถ้อยคำแก่ศาล ดังนั้น ศาลย่อมไม่อาจจะพิจารณาได้ว่าความเดือดร้อนหรือเสียหายที่กล่าวอ้างถึงในคำฟ้องนั้นเกิดขึ้นกับผู้ใดหรือไม่และอย่างไร<br />
<br />
2.2 ผู้ฟ้องคดีระบุชื่อของตนมาในคำฟ้อง แต่กลับไม่ได้ระบุที่อยู่มาด้วย<br />
แม้ว่าจะมีปัญหาในกรณีเช่นนี้ ศาลปกครองกลางก็ยังมีความพยายามที่จะรับคำฟ้องเหล่านี้ ไว้พิจารณา โดยให้สำนักงานศาลปกครองขอความอนุเคราะห์ไปยังสำนักงานทะเบียนราษฎร์ กระทรวงมหาดไทย เพื่อให้ช่วยตรวจสอบว่า ผู้ฟ้องคดีที่ระบุชื่อมานั้นมีตัวตนจริงหรือไม่ และมี ภูมิลำเนาอยู่ที่ใดและหากได้รับข้อมูลที่พอจะดำเนินการต่อไปได้ ก็จะดำเนินการรับคำฟ้องนั้นไว้ ในสารบบความต่อไป แต่อย่างไรก็ตาม ขั้นตอนที่เพิ่มขึ้นดังกล่าว นอกจากจะทำให้คดีปกครองคดี นั้นล่าช้าแล้ว ข้อมูลเกี่ยวกับภูมิลำเนาที่สอบถามได้ก็อาจจะเป็นภูมิลำเนาเดิมซึ่งไม่อาจใช้ติดต่อกับผู้ฟ้องคดีได้<br />
<br />
2.3 ผู้ฟ้องคดีจ่าหน้าซองถึงศาลปกครองได้ถูกต้อง<br />
แต่ในคำฟ้องหรือจดหมายภายในซองกลับมีรายละเอียดอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังต่อไปนี้<br />
2.3.1 ระบุว่าเป็นจดหมายถึงหน่วยงานอื่น เช่น ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือศาลรัฐธรรมนูญ เป็นต้น<br />
2.3.2 ระบุว่าเป็นจดหมายถึงหน่วยงานนั้นหน่วยงานนี้หลายหน่วยงาน ซึ่งระบุรวม ถึงศาลปกครองด้วย เช่น ระบุว่า "เรียน ปลัดกระทรวงแรงงานฯ, ประธานศาลปกครอง, ผู้ตรวจราชการกระทรวงแรงงานฯ" เป็นต้น<br />
ในกรณีเช่นนี้สำนักงานศาลปกครองในฐานะผู้รับเรื่องไว้เบื้องต้นย่อมไม่สามารถสรุปได้เองว่า ผู้ฟ้องคดีมีความประสงค์จะฟ้องคดีต่อศาลปกครอง ดังนั้น จึงจำเป็นต้องมีหนังสือสอบถาม กลับไปยังผู้ฟ้องคดีอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งขั้นตอนที่เพิ่มขึ้นดังกล่าวย่อมทำให้คดีปกครองนั้นล่าช้าได้<br />
<br />
2.4 ผู้ฟ้องคดีมักจะส่งแต่เฉพาะคำฟ้องและพยานหลักฐานฉบับจริงมาเพียงชุดเดียว โดยไม่แนบสำเนาคำฟ้องและพยานหลักฐานมาด้วยเลย<br />
ตามระเบียบวิธีพิจารณาคดีของศาลปกครองผู้ฟ้องคดีมีหน้าที่ต้องถ่ายสำเนาคำฟ้องและ พยานหลักฐานตามจำนวนผู้ถูกฟ้องคดีแนบมาพร้อมกับคำฟ้องด้วย เช่น หากผู้ฟ้องคดีประสงค์จะฟ้องคดีผู้ว่าราชการจังหวัดและกระทรวงมหาดไทย ผู้ฟ้องคดีจะต้องจัดทำ คำฟ้องและพยานหลักฐานฉบับจริง 1 ชุด สำหรับให้ศาลใช้พิจารณา จากนั้นจะต้องทำสำเนาคำฟ้อง และพยานหลักฐานทั้งหมดนั้นอีก 2 ชุด เพื่อที่ศาลปกครองจะได้ส่งสำเนาดังกล่าวไปให้ แก่ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสอง คือ ผู้ว่าราชการจังหวัดและกระทรวงมหาดไทย ต่อไป ซึ่งตามระเบียบแล้ว ถ้าผู้ฟ้องคดีไม่ได้จัดทำสำเนาดังกล่าวแนบมาด้วย ศาลจะแจ้งให้ผู้ฟ้องคดีจัดทำสำเนามาให้ภายใน ระยะเวลาที่ศาลกำหนด และหากผู้ฟ้องคดีไม่ยอมดำเนินการ ศาลก็มี อำนาจสั่งไม่รับคำฟ้องไว้ พิจารณาและสั่งจำหน่ายคดีนั้นออกจากสารบบความ<br />
<br />
2.5 ผู้ฟ้องคดีไม่ส่งค่าธรรมเนียมศาลมาพร้อมกับคำฟ้องหรือส่งมาแต่ไม่ครบถ้วน<br />
ในกรณีเช่นนี้ ศาลจะมีคำสั่งให้ผู้ฟ้องคดีชำระค่าธรรมเนียมศาลให้ครบถ้วนภายในระยะ เวลาที่ศาลกำหนด หากผู้ฟ้องคดีไม่ยอมดำเนินการ ศาลจะสั่งไม่รับคำฟ้องไว้พิจารณาและสั่งจำหน่ายคดีนั้นออกจากสารบบความต่อไป<br />
<br />
3. ข้อควรระวังเกี่ยวกับการติดต่อกับศาลปกครองระหว่างการดำเนินคดีปกครอง<br />
ในการดำเนินคดีปกครองของศาลปกครองนั้น เป็นการแสวงหาข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานที่เป็นเอกสารเสียเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นในระหว่างการดำเนินคดีปกครอง การติดต่อสื่อสารกันทางไปรษณีย์จึงเป็นเรื่องสำคัญ ซึ่งเท่าที่ผ่านมา สำนักงานศาลปกครองพบว่ามีปัญหาเกี่ยวกับการติดต่อสื่อสารระหว่างศาลกับคู่กรณีหรือบุคคลอื่นที่เกี่ยวข้องอยู่หลายประการ ดังนี้<br />
3.1 ผู้ฟ้องคดี ผู้ถูกฟ้องคดี หรือบุคคลอื่นที่เกี่ยวข้องมีหนังสือติดต่อถึงศาลปกครองหรือส่งเอกสารถึงศาลปกครองโดยไม่ได้แจ้งหมายเลขคดีมาด้วย<br />
จึงทำให้สำนักงานศาลปกครองในฐานะผู้รับเรื่องไม่ทราบว่าหนังสือหรือเอกสารดังกล่าวนั้น เป็นส่วนหนึ่งของคดีหมายเลขที่เท่าใด ซึ่งทำให้ไม่สามารถเสนอหนังสือหรือเอกสารนั้นให้แก่ ตุลาการ เจ้าของสำนวนเพื่อสั่งการใดๆ ได้ในทันที เพราะต้องใช้เวลาและบุคลากรในการตรวจ สอบอีกมาก ดังนั้น จึงเป็นเหตุให้คดีปกครองคดีนั้นล่าช้า<br />
<br />
3.2 ผู้ฟ้องคดี ผู้ถูกฟ้องคดี หรือบุคคลอื่นที่เกี่ยวข้องมีหนังสือตอบหมายหรือคำสั่งของตุลาการเจ้าของสำนวน โดยจ่าหน้าซองถึงชื่อของตุลาการเจ้าของสำนวนผู้นั้นโดยตรง<br />
ในกรณีนี้ หากมิได้วงเล็บมุมซองมาด้วยว่าเป็นคดีปกครองหมายเลขที่เท่าใด บางครั้ง สำนักงานศาลปกครองก็อาจเข้าใจผิดว่า เป็นจดหมายส่วนตัวของตุลาการผู้นั้นและนำจ่าย จดหมายห้โดยไม่ผ่านสารบบความอย่างถูกต้องซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นกว่าหนังสือดังกล่าวจะได้เข้าสู่สารบบความอย่างถูกต้องได้ก็จะต้องรอจนกว่าตุลาการเจ้าของสำนวนจะเปิดดูจดหมายพบว่าเป็นคดีปกครองและส่งกลับมาให้ฝ่ายสารบบคดีดำเนินการ ดังนั้น จึงเป็นเหตุให้คดีปกครองคดีนั้นล่าช้าขึ้นอีกมาก<br />
<br />
3.3 ผู้ฟ้องคดี ผู้ถูกฟ้องคดี หรือบุคคลอื่นที่เกี่ยวข้องได้ย้ายที่อยู่หรือที่ตั้งสำนักงาน แต่ไม่ได้มีหนังสือแจ้งให้สำนักงานศาลปกครองทราบ<br />
กรณีเช่นนี้ย่อมทำให้สำนักงานศาลปกครองไม่อาจดำเนินการติดต่อส่งหมายหรือคำสั่งของศาลให้ได้ จึงอาจทำให้คดีปกครองคดีนั้นล่าช้าหรือเสียหายได้<br />
จากปัญหาที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น จะเห็นได้ว่าหากผู้ฟ้องคดีผู้ถูกฟ้องคดีหรือบุคคลอื่นที่เกี่ยวข้องมีความเข้าใจและระมัดระวังในเรื่องต่างๆดังที่ได้กล่าวมาแล้วศาลปกครองกลางก็จะสามารถอำนวยความยุติธรรมให้แก่ผู้ฟ้องคดีและผู้ที่เกี่ยวข้องได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น<br />
<br />
ที่มา ศาลปกครองBTC Admin http://www.blogger.com/profile/17552179607270050206noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-224978953028537233.post-29956565007054026872014-07-14T09:16:00.000-07:002014-07-14T09:16:07.239-07:005 วิธีเซ็นสำเนาถูกต้องให้ปลอดภัย <div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://3.bp.blogspot.com/-Kvw6OeXs6sE/U8QCEgrBoVI/AAAAAAAAVk8/94sdaVdtlJw/s1600/1907732_417934471679756_5146292424157282723_n.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="http://3.bp.blogspot.com/-Kvw6OeXs6sE/U8QCEgrBoVI/AAAAAAAAVk8/94sdaVdtlJw/s1600/1907732_417934471679756_5146292424157282723_n.jpg" height="253" width="320" /></a></div>
<br />
1.การเซ็นสำเนาถูกต้อง บางคนอาจจะมีวิธีที่แตกต่างกัน เพราะบางคนอาจจะขีดเส้นขนานแล้วเขียน “สำเนาถูกต้อง” แต่จะมีเส้นหรือไม่มีเส้นขีดก็ได้ เนื่องจากกฎหมายไม่ได้กำหนดไว้ แต่อาจเป็นวิธีหนึ่งที่ป้องกันไม่ให้มิจฉาชีพนำสำเนาไปใช้<br />
<a name='more'></a><br />
<br />
2.สิ่งที่สำคัญที่สุดในการเซ็นรับรองสำเนา ทุกครั้งหลังจากเซ็นรับรองแล้ว ต้องเขียนรายละเอียดกำกับด้วยว่าใช้เพื่ออะไร เช่น ใช้เพื่อสมัครงานเท่านั้น ใช้เพื่อเปิดบัญชีธนาคารเท่านั้น<br />
<br />
3.นอกจากจะเซ็นกำกับรายละเอียดแล้ว สิ่งที่ควรเขียนลงบนสำเนา คือ วัน เดือน ปี เพื่อเป็นการกำหนดอายุการใช้งานของสำเนาเราได้อีกด้วย<br />
<br />
4.ต้องเขียนข้อความทั้งหมดลงบนสำเนาส่วนที่เป็นบัตรประชาชน หรือบนเอกสารสำคัญอื่นๆ<br />
<br />
5.และที่สำคัญต้องใช้ปากกาหมึกสีดำเท่านั้น เพราะเครื่องถ่ายเอกสารบางชนิดสามารถถ่ายเอกสารโดยดึงหมึกสีน้ำเงินออกให้เหลือแต่ข้อความบนบัตรประชาชนได้<br />
<br />
<br />
ข้อมูลจาก สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคBTC Admin http://www.blogger.com/profile/17552179607270050206noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-224978953028537233.post-54177481142156507252014-05-27T04:55:00.003-07:002015-05-17T22:00:10.931-07:00ความหมายของการยกเลิกสัญญาจ้าง <div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://1.bp.blogspot.com/-ZH3IAw7RMMw/VVlx0ltblyI/AAAAAAAAZp8/zS3dr1givQ8/s1600/vb631.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="200" src="http://1.bp.blogspot.com/-ZH3IAw7RMMw/VVlx0ltblyI/AAAAAAAAZp8/zS3dr1givQ8/s200/vb631.jpg" width="120" /></a></div>
<br />
การหยุดการจ้างไม่ว่าเป็นการกระทำของนายจ้าง ลูกจ้าง หรือโดยปริยาย ถือว่าเป็นการยกเลิกการจ้างดังต่อไปนี้<br />
<br />
<a name='more'></a><br />
<br />
1. สัญญาที่กำหนด หมายความว่า สัญญาจ้างสิ้นสุดลง เมื่อ ครบกำหนดระยะเวลาที่ระบุไว้ในสัญญาจ้างโดยไม่ต้องบอก กล่าวล่วงหน้า ซึ่งทั้งสองฝ่ายรู้ว่าเริ่มจ้างเมื่อใดและสิ้นสุด สัญญากันเมื่อใด<br />
<br />
2. สัญญาจ้างที่ไม่มีกำหนด มีดังนี้ คู่สัญญาอาจบอกกล่าวล่วงหน้าเป็นหนังสือ เมื่อแจ้งให้ลูกจ้างทราบแล้วก็มีผลทันที ถ้านายจ้างไม่ระบุเหตุผลให้ละเอียดชัดเจนในหนังสือเลิกสัญญาจ้าง นายจ้างจะยกเหตุมาอ้างทีหลังไม่ได้ รวมทั้งสัญญาจ้างที่ไม่มีอายุสัญญาไว้ชัดเจน คู่สัญญาคือนายจ้างกับลูกจ้าง ใครก็ได้จะเป็นฝ่ายเริ่มต้นบอกเลิกสัญญาจ้างกับอีกฝ่ายหนึ่ง และยังมีการยกเลิกสัญญาจ้างในลักษณะอื่น ๆ อีกที่จะต้องทำความเข้าใจ เช่น ไม่ระบุเหตุผลในหนังสือบอกเลิกสัญญาจ้าง ระบุเหตุผลในหนังสือบอกเลิกสัญญาแต่ระบุไม่ชัดเจน การเลิกจ้างหญิงเพราะเหตุมีครรภ์ ซึ่งตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน มาตรา 43 บัญญัติไว้ว่า “ห้ามมิให้นายจ้างเลิกจ้างลูกจ้างซึ่งเป็นหญิงเพราะเหตุมีครรภ์”<br />
ในเรื่องของสัญญาจ้างและการยกเลิกสัญญาจ้างนั้นมีรายละเอียดอีกมากมายBTC Admin http://www.blogger.com/profile/17552179607270050206noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-224978953028537233.post-1116571024619514312014-05-27T04:53:00.000-07:002014-05-27T04:53:13.431-07:00กฎหมายคุ้มครองแรงงาน : การพักงาน การพักงาน <div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://4.bp.blogspot.com/-PZfAmCYcSbw/U4R8nysE-SI/AAAAAAAAUyk/9oGkdmwPuhA/s1600/Image.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="http://4.bp.blogspot.com/-PZfAmCYcSbw/U4R8nysE-SI/AAAAAAAAUyk/9oGkdmwPuhA/s1600/Image.jpg" height="128" width="200" /></a></div>
มาตรา ๑๑๖ ในกรณีที่นายจ้างทำการสอบสวนลูกจ้างซึ่งถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิด ห้ามมิให้นายจ้างสั่งพักงานลูกจ้างในระหว่างการสอบสวนดังกล่าว เว้นแต่จะมีข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานหรือข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างให้อำนาจนายจ้างสั่งพักงานลูกจ้างได้ทั้งนี้ นายจ้างจะต้องมีคำสั่งพักงานเป็นหนังสือระบุความผิดและกำหนดระยะเวลาพักงานได้ไม่เกินเจ็ดวันโดยต้องแจ้งให้ลูกจ้างทราบก่อนการพักงาน<br />
<a name='more'></a><br />
<br />
ในระหว่างการพักงานตรวจวรรคหนึ่ง ให้นายจ้างจ่ายเงินให้แก่ลูกจ้างตามอัตราที่กำหนดไว้ในข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานหรือตามวรรคหนึ่ง ให้นายจ้างจ่ายเงินให้ลูกจ้างและลูกจ้างได้ตกลงกันไว้ในข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง ทั้งนี้ อัตราดังกล่าวต้องไม่น้อยกว่าร้อยละห้าสิบของค่าจ้างในวันทำงานที่ลูกจ้างได้รับก่อนถูกสั่งพักงาน<br />
<br />
มาตรา ๑๑๗ เมื่อการสอบสวนเสร็จสิ้นแล้ว ปรากฏว่าลูกจ้างไม่มีความผิด ให้นายจ้างจ่ายค่าจ้างให้แก่ลูกจ้างเท่ากับค่าจ้างในวันทำงานนับแต่วันที่ลูกจ้างถูกสั่งพักงานเป็นต้นไป โดยให้คำนวณเงินที่นายจ้างจ่ายตามมาตรา ๑๑๖เป็นส่วนหนึ่งของค่าจ้างตามมาตรานี้พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละสิบห้าต่อปี<br />
<br />
บทบัญญัติข้างต้นมีเจตนารมณ์เพื่อมิให้นายจ้างที่ทำการสอบสวนลูกจ้างซึ่งถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดทางวินัย สั่งพักงานลูกจ้างในระยะเวลายาวนานโดยไม่มีเหตุผล ซึ่งจะทำให้ลูกจ้างได้รับได้รับความเดือดร้อนเป็นอันมาก (เท่าที่ผ่านมานายจ้างได้สั่งพักงานลูกจ้างเพื่อทำการสอบสวนเป็นเวลาถึง ๒ ปีบ้าง ๔ บ้าง บางรายสั่งพักงานตั้งแต่การสอบสวนเป็นต้นไปจนกว่าคดีจะถึงที่สุด ซึ่งในระหว่างสอบสวนดังกล่าวนั้น นายจ้างก็มิได้จ่ายค่าจ้างให้แก่ลูกจ้าง นับว่าเป็นที่เดือดร้อนแก่ลูกจ้างเป็นอันมาก) บทมาตราดังกล่าวจะเป็นการคุ้มครองลูกจ้างไม่ให้นายจ้างสั่งพักงานเพื่อการสอบสวนความผิดทางวินัยลูกจ้างนานเกินไปโดยกำหนดไว้ว่า นายจ้างจะสั่งพักงานลูกจ้างได้ต่อเมื่อ<br />
<br />
๑. ลูกจ้างนั้นได้ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิด (วินัยในการทำงาน)<br />
<br />
๒. นายจ้างประสงค์จะทำการสอบสวนลูกจ้างและพักงานลูกจ้างนั้น<br />
<br />
๓. มีข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานหรือข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างระบุว่านายจ้างมีอำนาจสั่งพักงานลูกจ้างได้<br />
<br />
๔. นายจ้างได้มีคำสั่งพักงานเป็นหนังสือระบุความผิดและกำหนดระยะเวลาพักงานซึ่งต้องไม่เกิน ๗ วัน และ<br />
<br />
๕. นายจ้างได้แจ้งให้ลูกจ้างทราบก่อนการพักงานนั้นแล้ว<br />
ในระหว่างพักงานนายจ้างต้องจ่ายค่าจ้างให้แก่ลูกจ้างนั้นไม่น้อยกว่าครึ่งหนึ่งของค่าจ้างในวันทำงาน<br />
ถ้าการสอบสวนเสร็จสิ้นลงแล้วไม่ปรากฏว่าลูกจ้างมีความผิด นายจ้างจะต้องจ่ายค่าจ้างในระหว่างการพักงาน ๗ วันนั้น (โดยหักเงินค่าจ้างส่วนที่จ่ายไปแล้วออกได้) พร้อมทั้งจ่ายดอกเบี้ยร้อยละ ๑๕ ต่อปีด้วย<br />
<br />
เมื่อพิจารณาบทบัญญัติดังกล่าวข้างต้นแล้ว นายจ้างที่รอบคอบคงจะไม่พักงานลูกจ้างเพื่อสอบสวนลูกจ้างว่ากระทำความผิดหรือไม่ นายจ้างควรสอบสวนลูกจ้างที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดไปโดยไม่ต้องสั่งพักงาน หรือถ้านายจ้างไม่ประสงค์ที่จะให้ลูกจ้างทำงานในระหว่างที่ทำการสอบสวน นายจ้างก็อาจจะสั่งให้ลูกจ้างไม่ต้องมาทำงานและนายจ้างจ่ายค่าจ้างให้แก่ลูกจ้างนั้น หรือหากนายจ้างไม่ประสงค์จะให้ลูกจ้างทำงานอยู่ในหน้าที่เดิมนายจ้างก็มีอำนาจโดยชอบธรรมในทางการบริหารบุคคลที่จะย้ายลูกจ้าง ไปทำงานในหน้าที่อื่นเป็นการชั่วคราวในระหว่างการสอบสวนนั้นได้<br />
<div>
<br /></div>
BTC Admin http://www.blogger.com/profile/17552179607270050206noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-224978953028537233.post-14956383276694887452014-04-21T06:09:00.002-07:002014-04-21T06:09:16.190-07:00ไม้ตายจัดการเจ้าหนี้นอกระบบ<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://3.bp.blogspot.com/-Gpg6CWnwtDM/U1UX3gG18lI/AAAAAAAASWs/oEryXl0BCCo/s1600/credit.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="http://3.bp.blogspot.com/-Gpg6CWnwtDM/U1UX3gG18lI/AAAAAAAASWs/oEryXl0BCCo/s1600/credit.jpg" height="193" width="200" /></a></div>
<br />
นอกจากมาตรการทางภาษีแล้ว ก็ยังมีกฎหมายเกี่ยวกับความผิดที่เรียกเก็บอัตราดอกเบี้ยเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด และความผิดฐานกรรโชกทรัพย์และฟอกเงิน ซึ่งจะนำไปสู่การยึดทรัพย์สินของนายทุนเงินกู้นอกระบบดอกเบี้ยโหดต่อไป<br />
<a name='more'></a><br />
<br />
คณะทำงานแก้ปัญหาหนี้นอกระบบระดับชาติ ประกอบด้วยกำลังจากหลายหน่วยงาน<br />
<br />
อาทิ สำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) กรมสรรพากร เป็นต้น ทำงานร่วมกันแบบบูรณาการโดยพยายามหามาตรการทางกฎหมายที่มีอยู่ในปัจจุบันมาใช้แก้ปัญหาและจัดการกับแก๊งเงินกู้นอกระบบ โดยมีเป้าหมายกวาดล้างให้ปัญหาหนี้นอกระบบหมดไปภายใน 3 ปี<br />
<br />
อัยการดำริ เฉลิมวงศ์ อัยการผู้เชี่ยวชาญ จากสำนักคุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือทางกฎหมายแก่ประชาชน สำนักงานอัยการสูงสุด ซึ่งเป็นหนึ่งในคณะทำงานแก้ปัญหาหนี้นอกระบบระดับชาติ กล่าวว่า “สิ่งที่รัฐบาลทำเพื่อแก้ปัญหาหนี้นอกระบบนี้ต้องบอกก่อนว่า ไม่ได้เป็นการส่งเสริมให้ลูกหนี้เบี้ยวหนี้ หรือเป็น “วาระชักดาบแห่งชาติ” น่าจะเรียกว่าเป็นการ “จัดระเบียบเจ้าหนี้” มากกว่า เพราะเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของสังคม เป็นหนี้ลูกหนี้ก็ต้องใช้หนี้ตามยอดที่กู้มาจริง จากข้อมูลที่มีการร้องเรียนเข้ามา รวม ๆ แล้วลูกหนี้กู้เงินหนี้นอกระบบไปจริง ๆ ประมาณ 40 ล้านบาท แต่ปรากฎว่าหนี้ตามเอกสารมีสูงถึง 140 ล้านบาท ส่วนที่เกินมา 100 ล้านบาทนั้นมันเป็นการทำนาบนหลังคน โดยใช้กระบวนการยุติธรรมฟอกให้เป็นเงินที่ถูกต้องตามกฎหมาย”<br />
<br />
<b>หมัดน็อกเจ้าหนี้นอกระบบ </b><br />
มาตรการที่ภาครัฐนำมาใช้จัดการกับเจ้าหนี้นอกระบบอยู่ในปัจจุบันก็จะมีทั้งไม้นวม ไม้แข็ง เริ่มจากไม้นวมก็คือ การเรียกเจ้าหนี้นอกระบบที่ถูกร้องเรียนมาเจรจา อย่างเช่น กรณีที่ฟ้องลูกหนี้ 240,000 บาท เจ้าหนี้ต้องรู้อยู่แก่ใจว่าจริง ๆ แล้วลูกหนี้กู้เงินไปเท่าไร จะยอมตัดลดหนี้ให้ลูกหนี้หรือไม่ โดยจะชี้แจงให้ฟังว่า<br />
ประมวลรัษฎากร ม. 91/2(5) ได้บัญญัติไว้ว่า ผู้ใดประกอบธุรกิจเยี่ยงธนาคารพาณิชย์ เช่น ให้กู้ยืมเงิน มีรายได้จากดอกเบี้ย ต้องปฏิบัติดังนี้<br />
1. ขอจดทะเบียนธุรกิจเฉพาะ ถ้าไม่จดทะเบียนถือว่าผิด<br />
2. ต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะในอัตราร้อยละ 3 บวกกับภาษีบำรุงท้องถิ่นอีก ร้อยละ 0.3 รวมเป็น ร้อยละ 3.3<br />
3. กรมสรรพากรจะตรวจสอบย้อนหลัง 10 ปี หากเจ้าหนี้ไม่เคยยื่นแบบเสียภาษีว่าเคยมีรายได้จากดอกเบี้ยเงินกู้ เจ้าหนี้ก็จะมีความผิดที่แจ้งฐานภาษีเงินได้ผิดไปจากความเป็นจริง ต้องเรียกชำระเงินเพิ่มอีกหนึ่งเท่า ค่าปรับอีกร้อยละ 1.5 ต่อเดือน จนกว่าจะชำระเสร็จ ค่าปรับต้องย้อนหลังไป 10 ปี (120 เดือน)<br />
การใช้มาตรการทางภาษีเช่นนี้ ยากที่เจ้าหนี้เงินกู้นอกระบบจะปฏิเสธได้ว่าไม่เคยมีรายได้จากดอกเบี้ยเงินกู้ เพราะหลักฐานมีชัดเจน ก็คำพิพากษาที่เจ้าหนี้ใช้ฟ้องบังคับคดีเอากับลูกหนี้นั่นแหละ แล้วจะปฏิเสธได้อย่างไรว่าไม่เคยมีรายได้จากดอกเบี้ยเงินกู้ เมื่อเจอหมัดสวนอย่างนี้ เจ้าหนี้เงินกู้หลายรายก็ต้องยอมเจรจาตัดลดหนี้ให้กับลูกหนี้<br />
<br />
นอกจากมาตรการทางภาษีแล้ว ก็ยังมีกฎหมายเกี่ยวกับความผิดที่เรียกเก็บอัตราดอกเบี้ยเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด และความผิดฐานกรรโชกทรัพย์และฟอกเงิน ซึ่งจะนำไปสู่การยึดทรัพย์สินของนายทุนเงินกู้นอกระบบดอกเบี้ยโหดต่อไป<br />
<br />
<br />
<b>หน่วยงานที่ให้ความช่วยเหลือเรื่องหนี้นอกระบบ</b><br />
ทิ้งทายสำหรับ ลูกหนี้นอกระบบที่ถูกขูดรีดดอกเบี้ยอย่างผิดกฎหมาย ท่านสามารถร้องเรียน ให้ข้อมูลและขอความช่วยเหลือได้ที่ ศูนย์ดำรงธรรมในจังหวัดต่าง ๆ หรือ สายด่วน โทร. 1567 ตลอด 24 ชั่วโมง หรือทางไปรษณีย์ จ่าหน้าซอง ส่ง "ศูนย์ดำรงธรรม" กรุงเทพมหานคร ตู้ ป.ณ.1 ปณฝ.มหาดไทย กรุงเทพ ฯ 10206<br />
<br />
ส่วนลูกหนี้นอกระบบที่ถูกฟ้องดำเนินคดีแล้ว และต้องการความช่วยเหลือทางด้านกฎหมาย โดยเฉพาะต้องการทนายความที่จะว่าความให้ฟรี ท่านสามารถติดต่อได้ที่สำนักงานอัยการจังหวัดทุกแห่ง หรือ ที่สำนักคุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือทางกฎหมายแก่ประชาชน สำนักงานอัยการสูงสุด อาคารรัชดาภิเษก แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กรุงเทพ ฯ 10900 โทรศัพท์ 02-515-4048<br />
<br />
หากต้องการปรึกษาเกี่ยวกับคดีหนี้นอกระบบ ติดต่อ Call Center 1157 ทุกวันจันทร์ – ศุกร์ ไม่มีพักเที่ยง นอกจากนี้หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับแง่มุมทางกฎหมายและการให้ความช่วยเหลือลูกหนี้นอกระบบ ก็สามารถเข้าไปอ่านบทความที่ท่านอัยการดำริ เฉลิมวงศ์ เขียนไว้ที่ เว็บไซต์ของ สำนักคุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือทางกฎหมายแก่ประชาชน สำนักงานอัยการสูงสุด http://www.lawaid.ago.go.th/<br />
<br />
ถึงตรงนี้ บรรดาลูกหนี้นอกระบบทั้งหลาย ท่านก็คงจะพออุ่นใจได้บ้างว่าภาครัฐพร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือให้ท่านได้รับความยุติธรรมตามกฎหมาย ไม่ใช่ถูกเจ้าหนี้นอกระบบสูบเลือดสูบเนื้อโดยใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือเหมือนที่ผ่าน ๆ มา<br />
<br />
ที่มา มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคBTC Admin http://www.blogger.com/profile/17552179607270050206noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-224978953028537233.post-57310855457821561982014-04-20T09:14:00.000-07:002014-04-20T18:43:09.231-07:00ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับกฎหมายอาคารชุด<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://3.bp.blogspot.com/-daLdXVthoC0/U1PyOIpzeWI/AAAAAAAASWc/W3rJRuRqcgk/s1600/130619112137_StatutoryBuilding.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="http://3.bp.blogspot.com/-daLdXVthoC0/U1PyOIpzeWI/AAAAAAAASWc/W3rJRuRqcgk/s1600/130619112137_StatutoryBuilding.jpg" /></a></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
1. ผู้มีสิทธิยื่นคำขอจดทะเบียนอาคารชุด ตามกฎหมายอาคารชุด ได้แก่<br />
<br />
1.1 เป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงที่อาคารชุดนั้นตั้งอยู่<br />
<br />
1.2 และเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในอาคารชุดนั้น ๆ ด้วย<br />
<br />
<a name='more'></a><br />
<br />
ผู้ที่มีกรรมสิทธิ์เพียงอย่างใดอย่างหนึ่งใน 2 ประการดังกล่าวข้างต้น ไม่สามารถยื่นคำขอจดทะเบียนอาคารชุดได้ อาคารที่จะขอจดทะเบียนอาคารชุดจะเป็นอาคารกี่หลังก็ได้ และจะอยู่ในโฉนดที่ดินกี่แปลงก็ได้<br />
<br />
<br />
<br />
2. เอกสารที่ต้องยื่นเพื่อขอจดทะเบียนอาคารชุด มีดังนี้<br />
<br />
2.1 โฉนดที่ดิน สำหรับที่ดินซึ่งยังไม่มีโฉนดหรือเพียงแต่มีเอกสารแสดงสิทธิครอบครอง เช่น น.ส. 3 หรือ ส.ค. 1 จะยื่นขอจดทะเบียนอาคารชุดไม่ได้<br />
<br />
2.2 แผนผังอาคารชุด รวมทั้งเส้นทางเข้าออกสู่ทางสาธารณะ<br />
<br />
2.3 รายละเอียดเกี่ยวกับห้องชุด ทรัพย์ส่วนบุคคล และทรัพย์ส่วนกลาง ได้แก่ จำนวนพื้นที่ ลักษณะการใช้ประโยน์และอื่น ๆ ตามที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด<br />
<br />
2.4 อัตราส่วนที่เจ้าของห้องชุดแต่ละห้องชุดมีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์ส่วนกาง<br />
<br />
2.5 คำรับรองของผู้ยื่นคำขอว่า อาคารที่ขอจดทะเบียนอาคารชุดนั้นปราศจากภาระผูกพันใด ๆ เว้นแต่ การจำนองอาคารรวมกับที่ดิน<br />
<br />
2.6 ร่างข้อบังคับนิติบุคคลอาคารชุด<br />
<br />
2.7 หลักฐานอื่นตามที่กำหนดในกฎกระทรวง อาทิ ใบรับรองการก่อสร้างอาคารหรือดัดแปลงอาคาร หรือใบอนุญาตเปลี่ยนการใช้อาคารตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมอาคาร ในกรณีที่าคารที่ขอจดทะเบียนอาคารชุดนั้นตั้งอยู่ในท้องที่กฎหมายว่าด้วยการควบคุมอาคารใช้บังคับ, หนังสืออนุญาตให้ก่อสร้างอาคารตามฎหมายว่าด้วยการเดินอากาศหรือตามกฎหมายว่าด้วยเขตปลอดภัยในราชการทหาร ในกรณีที่อาคารที่ ขอจดทะเบียนอาคารชุดนั้นตั้งอยู่ภายในเขตปลอดภัยในการเดินอากาศตามกฎหมายว่าด้วยการเดินอากาศหรือในบริเวณเขตปลอดภัยในราชการทหารตามกฎหมายว่าด้วยเขตปลอดภัยในราชการทหาร แล้วแต่กรณี (กฎกระทรวงฉบับที่ 5 ออกตามความในพระราชบัญญัติอาคารชุด พ.ศ. 2541)<br />
<br />
<br />
<br />
3.ในการขายห้องชุด ผู้มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินและอาคาร (เจ้าของโครงการ) จะต้องดำเนินการ ดังนี้<br />
<br />
3.1 การโฆษณาขายห้องชุดในอาคารชุด ต้องเก็บสำเนาข้อความ หรือภาพที่โฆษณา หรือหนังสือชักชวนที่นำออกโฆษณาแก่บุคคลทั่วไป ไม่ว่าจะทำไว้ในรูปแบบใดไว้ในสถานที่ทำการจนกว่าจะมีการขายห้องชุดหมด และต้องส่งสำเนาเอกสารดังกล่าวให้นิติบุคคลอาคารชุดจัดเก็บไว้อย่างน้อยหนึ่งชุด<br />
<br />
3.2 การโฆษณาขายห้องชุดในอาคารชุดในส่วนที่เกี่ยวกับหลัก,านและรายละเอียดที่กำหนดไว้ในข้อ 2. ข้อความหรือภาพที่โฆษณาจะต้องตรงกับหลักฐานและรายละเอียดที่ยื่นพร้อมคำขอจดทะเบียน และต้องระบุรายละเอียดเกี่ยวกับทรัพย์สินส่วนกลางให้ชัดเจน<br />
<br />
3.3 ให้ถือว่า ข้อความหรือภาพโฆษณา หรือหนังสือชักชวนเป็นส่วนหนึ่งของสัญญาจะซื้อจะขาย หรือสัญญาซื้อขายห้องชุด แล้วแต่กรณี หากข้อความหรือภาพใดมีความหมายขัดหรือแย้งกับข้อความในสัญญาจะซื้อจะขาย หรือสัญญาซื้อขายห้องชุด ให้ตีความไปในทางที่เป็นคุณแก่ผู้จะซื้อหรือผู้ซื้อห้องชุด<br />
<br />
3.4 สัญญาซื้อขายห้องชุดระหว่างเจ้าของโครงการกับผู้ซื้อห้องชุดจะต้องทำตามแบบสัญญาที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด หากมิได้ทำตามแบบและไม่เป็นคุณต่อผู้ซื้อห้องชุด สัญญาส่วนนั้นไม่มีผลใช้บังคับ<br />
<br />
<br />
<br />
4. เจ้าของห้องชุดมีกรรมสิทธิ์อะไรบ้าง?<br />
<br />
4.1 เจ้าของห้องชุดมีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์ส่วนบุคคลที่เป็นของตนและมีกรรมสิทธิ์ร่วมในทรัพย์ส่วนกลาง ทรัพย์ส่วนบุคคล ได้แก่ ตัวห้องชุดแต่ละห้องชุด และสิ่งปลูกสร้างที่จัดไว้ให้เป็นของเจ้าของห้องชุดแต่ละราย เช่น โรงเก็บรถยนต์ส่วนตัว ที่จอดรถส่วนตัว และที่ดินที่จัดไว้ให้เป็นของเจ้าของห้องชุดแต่ละรายโดยเฉพาะ เช่น สวนหย่อม ที่ดินสำหรับทำครัว ปลูกต้นไม้ เป็นต้น เจ้าของห้องชุดแต่ละห้องชุด จึงมีสิทธิใช้ทรัพย์ส่วนบุคคลซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของตนได้แต่ผู้เดียว เจ้าของห้องชุดอื่นจะมาใช้ร่วมด้วยไม่ได้ นอกจากนี้ เจ้าของห้องชุดยังมีกรรมสิทธิ์ร่วมในทรัพย์ส่วนกลาง ได้แก่ ที่ดินที่เป็นที่ตั้งของอาคารชุด ตัวอาคารชุดนอกจากส่วนที่เป็นห้องชุด เช่น ฐานราก เสาเข็ม ดาดฟ้า และที่ดินที่มีไว้เพื่อใช้หรือเพื่อประโยชน์ร่วมกันของเจ้าของร่วมทุกคน เช่น สระว่ายน้ำ สนามกีฬาส่วนรวม ฯลฯ และทรัพย์สินที่มีไว้เพื่อใช้ประโยชน์ร่วมกัน เช่น ลิฟท์ บันได เครื่องปั๊มน้ำ หรือถังเก็บน้ำ เสาอากาศทีวีรวม เป็นต้น เฉพาะทรัพย์ส่วนกลางนี้เจ้าของห้องชุดทุกห้องมีกรรมสิทธิ์ร่วมในทรัพย์ส่วนกลางเหล่านี้ จึงสามารถใช้ทรัพย์ส่วนกลางร่วมกันได้ทุกคนเท่าเทียมกัน<br />
<br />
4.2 พื้นห้อง ผนังกั้นห้องที่แบ่งระหว่างห้องชุดแต่ละห้อง ถือว่าเป็นกรรมสิทธิ์รวมของเจ้าของร่วมระหว่างห้องชุดนั้น ๆ คือ เป็นกรรมสิทธิ์รวมระหว่างเจ้าของห้องชุดที่มีพื้นห้องและผนังกั้นห้องร่วมกันอยู่ และการใช้ทรัพย์นั้นต้องเป็นไปตามข้อบังคับของอาคารชุด<br />
<br />
4.3 ข้อจำกัดการใช้ทรัพย์ส่วนบุคคล แม้เจ้าของห้องชุดจะเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์ส่วนบุคคลและเป็นผู้มีสิทธิใช้ทรัพย์ส่วนบุคคลดังกล่าวแต่ผู้เดียวก็ตาม แต่การใช้สิทธิหรือใช้ทรัพย์ส่วนบุคคลนั้นจะต้องไม่กระทบกระเทือนต่อโครงสร้าง ความมั่นคง หรือการป้องกันความเสียหายต่อตัวอาคาร เช่น จะตั้งโรงงานเพื่อผลิตสินค้าในห้องชุดของตนย่อมไม่ได้ เพราะอาจสั่นสะเทือนต่อโครงสร้างของตัวอาคารทั้งหมด หรือในกรณีที่มีข้อบังคับของนิติบุคคลอาคารชุดกำหนดว่า ห้ามมิให้กระทำการอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น ห้ามทำเป็นร้านค้าขายอาหาร เจ้าของห้องชุดก็ต้องปฏิบัติตามข้อบังคับนั้น ๆ<br />
<br />
<br />
<br />
5. อัตราส่วนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์ส่วนกลางคืออะไร?<br />
<br />
เมื่อจดทะเบียนเป็นอาคารชุดแล้ว อาคารชุดนั้นจะมีทรัพย์สองส่วน คือ ทรัพย์ส่วนบุคคลและทรัพย์ส่วนกลาง โดยเจ้าของห้องชุดแต่ละห้องชุดจะมีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์ส่วนบุคคลและขณะเดียวกันก็มีกรรมสิทธิ์ร่วมในทรัพย์ส่วนกลางด้วย กรรมสิทธิ์ในทรัพย์ส่วนบุคคลไม่มีปัญหาเพราะมาตรา 13 วรรคแรกระบุว่า เจ้าของห้องชุดมีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์ส่วนบุคคล แต่กรรมสิทธิ์ในทรัพย์ส่วนกลางนั้นกฎหมายระบุว่า เจ้าของห้องชุดทุกห้องมีกรรมสิทธิ์ร่วมในทรัพย์ส่วนกลาง ดังนั้น จึงจำเป็นต้องระบุอัตราส่วนความเป็นเจ้าของทรัพย์ส่วนกลางไว้ให้แน่ชัดว่า เจ้าของห้องชุดแต่ละห้องชุดมีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์ส่วนกลางอยู่เท่าไร ซึ่งมาตรา 14 ระบุว่า อัตราส่วนในกรรมสิทธิ์ร่วมในทรัพย์ส่วนกลางของเจ้าของร่วมให้เป็นไปตามอัตราส่วนระหว่างเนื้อที่ของห้องชุดแต่ละห้องชุดกับเนื้อที่ของห้องชุดทั้งหมดในอาคารชุดนั้นในขณะที่ขอจดทะเบียนเป็นอาคารชุด<br />
<br />
เหตุที่กฎหมายบัญญัติให้กำหนดกรรมสิทธิ์ในทรัพย์ส่วนกลางของห้องชุดแต่ละห้องชุดว่ามีอัตราส่วนเป็นจำนวนเท่าใดของจำนวนเนื้อที่ของห้องชุดทั้งหมดในขณะจดทะเบียนอาคารชุด เพราะเมื่อมีการจดทะเบียนเป็นอาคารชุดแล้ว โฉนดซึ่งเป็นที่ตั้งของอาคารชุดจะถูกเก็บรักษาไว้ตั้งแต่ขณะที่พนักงานเจ้าหน้าที่รับจดทะเบียนอาคารชุดให้ และโฉนดที่ดินดังกล่าวนั้นจะถูกนำมาใช้อีกเมื่อมีการจดทะเบียนเลิกอาคารชุด ในกรณีเช่นนี้ เจ้าหน้าที่ที่ดินจะต้องจดแจ้งในสารบัญจดทะเบียนของโฉนดเดิมนั้น โดยแสดงชื่อเจ้าของร่วมที่มีชื่อใคำขอเลิกอาคารชุดให้เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์รวมในโฉนดนั้นตามอัตราส่วนที่เจ้าของรวมแต่ละคนถือกรรมสิทธิ์ในทรัพย์ส่วนกลาง<br />
<br />
<br />
<br />
6. การประกอบการค้าในอาคารชุด ในกรณีที่มีการจัดพื้นที่ของอาคารชุดเพื่อประกอบการค้า ต้องจัดระบบการเข้าออกในพื้นที่ดังกล่าวเป็นการเฉพาะ ไม่ให้รบกวนความเป็นอยู่โดยปกติสุขของเจ้าของร่วม และห้ามมิให้ผู้ใดประกอบการค้าในอาคารชุด เว้นแต่เป็นการประกอบการค้าในพื้นที่ของอาคารชุดที่จัดไว้ดังกล่าวข้างต้น<br />
<br />
<br />
<br />
7. ค่าใช้จ่ายส่วนกลางที่เจ้าของห้องชุดต้องช่วยกันออก<br />
<br />
เจ้าของร่วมหรือเจ้าของห้องชุดแต่ละห้องจะต้องร่วมกันออกค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับทรัพย์ส่วนกลางรวม 5 ชนิด ดังนี้<br />
<br />
7.1 ค่าใช้จ่ายที่เกิดจากบริการส่วนรวม ของเจ้าของห้องชุดทุกห้อง ซึ่งทุกห้องจะได้รับประโยชน์จากบริการนี้เท่าเทียมกัน เช่น ค่าใช้จ่ายในการจัดเก็บขยะมูลฝอย ค่าไฟฟ้าส่วนที่ให้ความสว่างแก่ตัวอาคารชุด (นอกห้องชุด) เช่น ระเบียง บันได โรงจอดรถ ค่าจ้างยามรักษาความปลอดภัย ค่าจ้างดูแลรักษาความสะอาดอาคารชุดส่วนที่อยู่นอกห้องชุดทั้งหมด ค่าใช้จ่ายที่เกิดจากบริการส่วนรวมนี้ เจ้าของห้องชุดจะต้องออกค่าใช้จ่ายนี้ตามส่วนแห่งประโยชน์ที่มีต่อห้องชุดและตามที่กำหนดไว้ในข้อบังคับ กล่าวคือ ห้องชุดแต่ละห้องจะต้องออกค่าใช้จ่ายในส่วนนี้โดยเท่าเทียมกัน โดยไม่คำนึงราคาห้องชุดแต่ละห้องว่าจะมีราคาแตกต่างกันหรือไม่และต้องเป็นค่าใช้จ่ายที่กำหนดไว้ในข้อบังคับนิติบุคคลอาคารชุดด้วย<br />
<br />
7.2 ค่าใช้จ่ายที่เกิดจากเครื่องมือเครื่องใช้ที่มีไว้เพื่อประโยชน์ร่วมกัน เช่น ค่ากระแสไฟฟ้าสำหรับเครื่องปรับอากาศอาคารชุดส่วนที่อยู่นอกห้องชุด ค่ากระแสไฟฟ้าสำหรับโทรทัศน์ที่ตั้งอยู่ในห้องรับรอง [Lobby] ค่าเครื่องมือที่ใช้ในการทำความสะอาดทรัพย์ส่วนกลางเจ้าของห้องชุดทุกห้องจะต้องออกตามส่วนแห่งประโยชน์ที่มีต่อห้องชุด และตามที่กำหนดไว้ในข้อบังคับนิติบุคคลอาคารชุด คือ ออกเท่ากันทุกห้องชุดเพราะทุกห้องชุดได้รับประโยชน์โดยเท่าเทียมกัน<br />
<br />
7.3 ค่าภาษีอากร หมายถึง เฉพาะภาษีอากรที่ต้องจ่ายในนามของอาคารชุดและเกิดจากการดูแลรักษาและการดำเนินการเกี่ยวกับทรัพย์ส่วนกลางเท่านั้น โดยเจ้าของห้องชุดจะต้องออกค่าใช้จ่ายนี้ตามอัตราส่วนที่เจ้าของร่วมมีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์ส่วนกลาง<br />
<br />
7.4 ค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการดูแลรักษาทรัพย์ส่วนกลาง ได้แก่ ค่าจ้างซ่อมแซมทรัพย์ส่วนกลาง เช่น ค่าซ่อมไฟฟ้าอาคารชุดส่วนที่อยู่นอกห้องชุด ค่าซ่อมเครื่องปั๊มน้ำ ค่าใช้จ่ายในส่วนนี้เจ้าของห้องชุดต้องออกตามอัตราส่วนที่เจ้าของร่วมมีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์ส่วนกลางเช่นเดียวกับข้อ 7.3<br />
<br />
7.5 ค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการดำเนินการเกี่ยวกับทรัพย์ส่วนกลาง ได้แก่ ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ในการดำเนินกิจการของนิติบุคคลอาคารชุด เช่น เงินเดือนผู้จัดการ เสมียน พนักงาน เครื่องใช้และอุปกรณ์ต่าง ๆ ในสำนักงานนิติบุคคลอาคารชุด ค่าใช้จ่ายในส่วนนี้เจ้าของห้องชุดต้องออกตามอัตราส่วนที่เจ้าของร่วมมีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์ส่วนกลางเช่นเดียวกับข้อ 7.3<br />
<br />
ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ซึ่งเจ้าของห้องชุดแต่ละห้องจะต้องชำระนี้ ต้องชำระให้แก่นิติบุคคลอาคารชุด และถ้าไม่ชำระผลก็คือ นิติบุคคลอาคารชุดมีบุริมสิทธิ์เหนือทรัพย์ต่าง ๆ ของเจ้าของห้องชุด<br />
<br />
ในกรณีที่ผู้มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินและอาคาร (เจ้าของโครงการ) เป็นเจ้าของร่วมในห้องชุดที่ยังไม่มีการโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่บุคคลใดบุคคลหนึ่ง จะต้องร่วมออกค่าใช้จ่ายดังกล่าวข้างต้นด้วย<br />
<br />
<br />
<br />
8.เจ้าของร่วมจะต้องชำระเงินให้แก่นิติบุคคลอาคารชุดเพื่อดำเนินกิจการของนิติบุคคลอาคารชุด ดังต่อไปนี้<br />
<br />
8.1 เงินค่าใช้จ่ายของนิติบุคคลอาคารชุดที่เจ้าของแต่ละห้องชุดจะต้องชำระล่วงหน้า<br />
<br />
8.2 เงินทุนเมื่อเริ่มต้นกระทำกิจการอย่างใดอย่างหนึ่งตามข้อบังคับ หรือตามมติของที่ประชุมใหญ่<br />
<br />
8.3 เงินอื่นเพื่อปฏิบัติตามมติของที่ประชุมใหญ่ภายใต้เงื่อนไขซึ่งที่ประชุมใหญ่กำหนด<br />
<br />
<br />
<br />
9.ผลของการไม่ชำระเงินค่าใช้จ่าย<br />
<br />
9.1 ในกรณีที่เจ้าของร่วมไม่ชำระเงินค่าใช้จ่ายภายในเวลาที่กำหนดต้องเสียเงินเพิ่มในอัตราไม่เกินร้อยละสิบสองต่อปีของจำนวนเงินที่ค้างชำระโดยไม่คิดทบต้น ทั้งนี้ ตามที่กำหนดในข้อบังคับ<br />
<br />
9.2 ในกรณีที่เจ้าของร่วมค้างชำระตั้งแต่ 6 เดือนขึ้นไปต้องเสียเงินเพิ่มในอัตราไม่เกินร้อยละ 20 ต่อปีและอาจถูกระงับการให้บริการส่วนรวม หรือการใช้ทรัพย์ส่วนกลางตามที่กำหนดในข้อบังคับ รวมทั้งไม่มีสิทธิออกเสียงในการประชุมใหญ่ เงินเพิ่มดังกล่าวให้ถือเป็นค่าใช้จ่าย<br />
<br />
<br />
<br />
10.หน้าที่ของนิติบุคคลอาคารชุด มีดังนี้<br />
<br />
10.1 จัดทำงบดุลอย่างน้อยหนึ่งครั้งทุกรอบสิบสองเดือน โดยให้ถือว่า เป็นรอบปีในทางบัญชีของนิติบุคคลอาคารชุดนั้น งบดุลดังกล่าวอย่างน้อยต้องมีรายการแสดงจำนวนสินทรัพย์และหนี้สินของนิติบุคคลอาคารชุดกับทั้งบัญชีรายรับ-รายจ่าย และต้องจัดให้มีผู้ตรวจสอบบัญชี แล้วนำเสนอเพื่ออนุมัติในที่ประชุมใหญ่เจ้าของร่วมภายใน 120 วันนับแต่วันสิ้นปีทางบัญชี<br />
<br />
10.2 จัดทำรายงานประจำปีแสดงผลการดำเนินงานเสนอต่อที่ประชุมใหญ่เจ้าของร่วมพร้อมกับการเสนองบดุล และให้ส่งสำเนาเอกสารดังกล่าวให้แก่เจ้าของร่วมก่อนวันนัดประชุมล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 7 วัน<br />
<br />
10.3 เก็บรักษารายงานประจำปีแสดงผลการดำเนินงานและงบดุลพร้อมทั้งข้อบังคับไว้ที่สำนักงานนิติบุคคลอาคารชุดเพื่อให้เจ้าหน้าที่หรือเจ้าของร่วมตรวจดูได้ รายงานประจำปีและงบดุล ให้นิติบุคคลอาคารชุดเก็บรักษาไว้ไม่น้อยกว่าสิบปีนับแต่วันที่ได้รับอนุมัติจากที่ประชุมใหญ่เจ้าของร่วม<br />
<br />
<br />
<br />
11. การออกใบแทนหนังสือกรรมสิทธิ์ห้องชุดให้แก่เจ้าของห้องชุด อาจมีได้ 2 กรณี คือ<br />
<br />
11.1 หนังสือกรรมสิทธิ์ห้องชุดสูญหาย<br />
<br />
11.2 หนังสือกรรมสิทธิ์ห้องชุดชำรุด<br />
<br />
นอกจากการออกใบแทนหนังสือกรรมสิทธิ์ห้องชุดเนื่องจากใบเก่าสูญหายหรือชำรุดแล้ว ยังมีกรณีอื่น ๆ ซึ่งพนักงานเจ้าหน้าที่อาจจะต้องออกใบแทนหนังสือกรรมสิทธิ์ห้องชุดฉบับเดิม ได้แก่<br />
<br />
(1) กรณีศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งถึงที่สุดเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ห้องชุดอย่างใดแล้ว แต่ผู้ยื่นคำขอไม่สามารถนำหนังสือกรรมสิทธิ์ห้องชุดมาเพื่อดำเนินการตามคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลได้ ก็ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ออกใบแทนได้ ทั้งนี้ ตามกฎกระทรวง (พ.ศ.2533) ออกตามความในพระราชบัญญัติอาคารชุด พ.ศ. 2522 ข้อ 11 (3)<br />
<br />
(2) กรณีคนต่างด้าวได้กรรมสิทธิ์ห้องชุดมาโดยไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติอาคารชุด อธิบดีกรมที่ดินมีอำนาจสั่งจำหน่ายห้องชุดของคนต่างด้าวนั้นได้ แต่ไม่สามารถได้มาซึ่งหนังสือกรรมสิทธิ์ห้องชุด ก็ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ออกใบแทนได้เช่นเดียวกัน ทั้งนี้ ตามกฎกระทรวง (พ.ศ.2533) ออกตามความในพระราชบัญญัติอาคารชุด พ.ศ. 2522 ข้อ 11 (4)<br />
<br />
<br />
<br />
12. เอกสารที่ต้องนำไปเพื่อจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเกี่ยวกับห้องชุด มีดังนี้<br />
<br />
(1) หนังสือกรรมสิทธิ์ห้องชุด<br />
<br />
(2) กรณีเป็นการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ในห้องชุด ผู้ขอต้องนำหนังสือรับรองจากผู้จัดการนิติบุคคลอาคารชุดมาแสดงว่า มิได้เป็นหนี้ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับทรัพย์ส่วนกลางตามมาตรา 18 แนบมาด้วย<br />
<br />
<br />
<br />
13. การประชุมใหญ่<br />
<br />
13.1 ผู้จัดการนิติบุคคลอาคารชุดจะต้องจัดให้มีการประชุมใหญ่สามัญครั้งแรกภายใน 6 เดือนนับแต่วันทีได้จดทะเบียนนิติบุคคลอาคารชุดเพื่อแต่งตั้งกรรมการ และพิจารณาให้ความเห็นชอบข้อบังคับและผู้จัดการนิติบุคคลอาคารชุดตามที่ได้ยื่นขอจดทะเบียนนิติบุคคลอาคารชุดไว้แล้ว<br />
<br />
ในกรณีที่ที่ประชุมใหญ่สามัญไม่เห็นชอบกับข้อบังคับหรือผู้จัดการตามที่กล่าวข้างต้น ให้ที่ประชุมใหญ่พิจารณาแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงข้อบังคับ หรือถอดถอนหรือแต่งตั้งผู้จัดการนิติบุคคลอาคารชุดคนใหม่ด้วย<br />
<br />
13.2 คณะกรรมการนิติบุคคลอาคารชุดจะต้องจัดให้มีการประชุมใหญ่สามัญปีละหนึ่งครั้งภายใน 120 วันนับแต่วันสิ้นปีทางบัญชีของนิติบุคคลอาคารชุดเพื่อกิจการ ดังต่อไปนี้<br />
<br />
(1) พิจารณาอนุมัติงบดุล<br />
<br />
(2) พิจารณารายงานประจำปี<br />
<br />
(3) แต่งตั้งผู้สอบบัญชี<br />
<br />
(4) พิจารณาเรื่องอื่น ๆ<br />
<br />
13.3 ในกรณีมีเหตุจำเป็น บุคคลต่อไปนี้มีสิทธิเรียกประชุมใหญ่วิสามัญเมื่อใดก็ได้<br />
<br />
(1) ผู้จัดการนิติบุคคลอาคารชุด<br />
<br />
(2) คณะกรรมการนิติบุคคลอาคารชุดโดยมติเกินกว่ากึ่งหนึ่งของที่ประชุมคณะกรรมการ<br />
<br />
(3) เจ้าของร่วมไม่น้อยกว่าร้อยละยี่สิบคะแนนเสียงของเจ้าของร่วมทั้งหมดลงลายมือชื่อทำหนังสือร้องขอให้เปิดประชุมต่อคณะกรรมการ ในกรณีนี้ ให้คณะกรรมการจัดให้มีการประชุมภายใน 15 วันนับแต่วันได้รับคำร้องขอ ถ้าคณะกรรมการมิได้จัดให้มีการประชุมภายในกำหนดเวลาดังกล่าว เจ้าของร่วมตามจำนวนเสียงข้างต้นมีสิทธิจัดให้มีการประชุมใหญ่วิสามัญเองได้ โดยให้แต่งตั้งตัวแทนคนหนึ่งเพื่อออกหนังสือเรียกประชุม<br />
<br />
13.4 การเรียกประชุมใหญ่ ต้องทำเป็นหนังสือนัดประชุม ระบุสถานที่ วัน เวลา ระเบียบวาระการประชุม และเรื่องที่จะเสนอต่อที่ประชุมพร้อมด้วยรายละเอียดตามสมควร และจัดส่งให้เจ้าของร่วมไม่น้อยกว่า 7 วันก่อนวันประชุม<br />
<br />
13.5 องค์ประชุม: การประชุมใหญ่ต้องมีผู้มาประชุมซึ่งมีคะแนนเสียงรวมกันไม่น้อยกว่า 1 ใน 4 ของจำนวนคะแนนเสียงทั้งหมด ในกรณีที่เจ้าของร่วมมาประชุมไม่ครบองค์ประชุม ให้เรียกประชุมใหญ่ภายใน 15 วันนับแต่วันเรียกประชุมครั้งก่อน และการประชุมใหญ่ครั้งหลังนี้ไม่บังคับว่าจะต้องครบองค์ประชุม อนึ่ง ผู้จัดการนิติบุคคลหรือคู่สมรสของผู้จัดการจะเป็นประธานในการประชุมใหญ่มิได้<br />
<br />
13.6 มติของที่ประชุมใหญ่: ต้องได้รับคะแนนเสียงข้างมากของเจ้าของร่วมที่เข้าประชุม เว้นแต่ กฎหมายอาคารชุดจะกำหนดไว้เป็นอย่างอื่น<br />
<br />
13.7 คะแนนเสียง: ให้เจ้าของร่วมแต่ละรายมีคะแนนเสียงเท่ากับอัตราส่วนที่ตนมีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์ส่วนกลาง<br />
<br />
ถ้าเจ้าของร่วมคนเดียวมีคะแนนเสียงเกินกึ่งหนึ่งของจำนวนคะแนนเสียงทั้งหมด ให้ลดจำนวนคะแนนเสียงของผู้นั้นลงมาเหลือเท่ากับจำนวนคะแนนเสียงของบรรดาเจ้าของร่วมคนอื่น ๆ รวมกัน<br />
<br />
13.8 การให้บุคคลอื่นเข้าประชุมแทน: เจ้าของร่วมอาจมอบฉันทะเป็นหนังสือให้ผู้อื่นออกเสียงแทนตนได้ แต่ผู้รับมอบฉันทะคนหนึ่งจะรับมอบฉันทะให้ออกเสียงในการประชุมครั้งหนึ่งเกินสามห้องชุดมิได้<br />
<br />
บุคคลต่อไปนี้จะรับมอบฉันทะให้ออกเสียงแทนเจ้าของร่วมมิได้<br />
<br />
(1) กรรมการและคู่สมรสของกรรมการ<br />
<br />
(2) ผู้จัดการและคู่สมรสของผู้จัดการ<br />
<br />
(3) พนักงานหรือลูกจ้างของนิติบุคคลอาคารชุดหรือของผู้รับจ้างของนิติบุคคลอาคารชุด<br />
<br />
(4) พนักงานหรือลูกจ้างของผู้จัดการ ในกรณีที่ผู้จัดการเป็นนิติบุคคล<br />
<br />
<br />
<br />
14. มติของที่ประชุมใหญ่<br />
<br />
14.1 มติเกี่ยวกับเรื่องดังต่อไปนี้ ต้องได้รับคะแนนเสียงไม่น้อยกว่า 1/2 ของจำนวนคะแนนเสียงของเจ้าของร่วมทั้งหมด<br />
<br />
(1) การซื้ออสังหาริมทรัพย์หรือการรับให้อสังหาริมทรัพย์ที่มีค่าภาระผูกพันเป็นทรัพย์ส่วนกลาง<br />
<br />
(2) การจำหน่ายทรัพ์ส่วนกลางที่เป็นอสังหาริมทรัพย์<br />
<br />
(3) การอนุญาตให้เจ้าของร่วมทำการก่อสร้าง ตกแต่ง ปรับปรุง เปลี่ยนแปลง หรือต่อเติมห้องชุดของตนเองที่มีผลกระทบต่อทรัพย์ส่วนกลางหรือลักษณะภายนอกของอาคารชุดโดยค่าใช้จ่ายของผู้นั้นเอง<br />
<br />
(4) การแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อบังคับเกี่ยวกับการใช้ หรือการจัดการทรัพย์ส่วนกลาง<br />
<br />
(5) การแก้ไขเปลี่ยนแปลงอัตราส่วนค่าใช้จ่ายร่วมกันในข้อบังคับ<br />
<br />
(6) การก่อสร้างอันเป็นการเปลี่ยนแปลง เพิ่มเติมหรือปรับปรุงทรัพย์ส่วนกลาง<br />
<br />
(7) การจัดหาผลประโยชน์ในทรัพย์ส่วนกลาง<br />
<br />
ในกรณีที่เจ้าของร่วมเข้าประชุมมีคะแนนเสียงไม่ครบตามจำนวนที่กำหนดไว้ข้างต้น ให้เรียกประชุมใหม่ภายใน 15 วันนับแต่วันเรียกประชุมครั้งก่อน และมติเกี่ยวกับเรื่องที่กำหนดไว้ข้างต้นนั้น ในการประชุมครั้งใหม่นี้ต้องได้รับคะแนนเสียงไม่น้อยกว่า1 ใน 3 ของจำนวนคะแนนเสียงของเจ้าของร่วมทั้งหมด<br />
<br />
14.2 มติเกี่ยวกับเรื่องดังต่อไปนี้ ต้องได้รับคะแนนเสียงไม่น้อยกว่า 1/4 ของจำนวนคะแนนเสียงของเจ้าของร่วมทั้งหมด<br />
<br />
(1) การแต่งตั้ง หรือถอดถอนผู้จัดการ<br />
<br />
(2) การกำหนดกิจการที่ผู้จัดการมีอำนาจมอบหมายให้ผู้อื่นทำแทน<br />
<br />
<br />
<br />
15."บทกำหนดโทษ"<br />
<br />
<br />
<br />
15.1 ในกรณีผู้มีสิทธิในที่ดินและอาคาร (เจ้าของโครงการ) ทำการโฆษณาขายห้องชุดต้องเก็บสำเนาข้อความหรือภาพที่โฆษณา หรือหนังสือชักชวนที่นำออกโฆษณาแก่บุคคลทั่วไปไว้ในสถานที่ทำการจนกว่าจะมีการขายห้องชุดหมดและต้องส่งสำเนาเอกสารดังกล่าวให้แก่นิติบุคคลอาคารชุดเก็บไว้อย่างน้อยหนึ่งชุด หากฝ่าฝืนมีโทษปรับไม่เกิน 100,000 บาท<br />
<br />
15.2 การโฆษณาขายห้องชุดในอาคารชุดในส่วนที่เกี่ยวกับหลักฐานและรายละเอียดเกี่ยวกับโฉนดที่ดิน แผนผังอาคารชุดรวมทั้งเส้นทางเข้าออกสู่ทางสาธารณะ รายละเอียดเกี่ยวกับห้องชุด ทรัพย์ส่วนบุคคลและทรัพย์ส่วนกลาง ข้อความหรือภาพที่โฆษณา จะต้องตรงกับหลักฐานและรายละเอียดที่ยื่นพร้อมคำขอจดทะเบียน หากฝ่าฝืนมีโทษปรับตั้งแต่ 50,000 บาทถึง 100,000บาท<br />
<br />
15.2 สัญญาจะซื้อจะขายหรือสัญญาซื้อขายห้องชุดระหว่างผู้มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินและอาคาร (เจ้าของโครงการ) กับผู้จะซื้อหรือผู้ซื้อห้องชุดต้องทำตามแบบที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด หากฝ่าฝืนมีโทษปรับไม่เกิน 100,000 บาท<br />
<br />
15.3 ในกรณีที่มีการจัดพื้นที่ของอาคารชุดเพื่อประกอบการค้า ต้องจัดระบบการเข้าออกพื้นที่ดังกล่าวเป็นการเฉพาะไม่ให้รบกวนความเป็นอยู่โดยปกติสุขของเจ้าของร่วม หากฝ่าฝืนปรับไม่เกิน 50,000 บาท และปรับอีกไม่เกินวันละ 5,000 บาทตลอดระยะเวลาที่ฝ่าฝืนอยู่<br />
<br />
15.4 คนต่างด้าวหรือนิติบุคคลซึ่งกฎหมายถือว่าเป็นคนต่างด้าวซึ่งจะต้องจำหน่ายห้องชุดของตนเมื่อมีเหตุการณ์ตามที่ระบุไว้ในมาตรา 19 เบญจ วรรคหนึ่งเกิดขึ้นต้องแจ้งเป็นหนังสือให้พนักงานเจ้าหน้าที่ทราบภายในกำหนดเวลา 60 วันนับแต่วันที่มีเหตุต้องจำหน่าย หากไม่แจ้งให้พนักงานเจ้าหน้าที่ทราบ มีโทษปรับไม่เกิน 10,000 บาท และปรับอีกไม่เกินวันละ 500 บาทตลอดระยะเวลาที่ฝ่าฝืนอยู่<br />
<br />
15.5 คนต่างด้าวหรือนิติบุคคลซึ่งกฎหมายถือว่าเป็นคนต่างด้าวได้มาซึ่งห้องชุดโดยได้รับมรดกในฐานะเป็นทายาทโดยธรรม หรือผู้รับพินัยกรรม หรือโดยประการอื่น แล้วแต่กรณี ต้องแจ้งเป็นหนังสือให้พนักงานเจ้าหน้าที่ทราบภายในกำหนด 60 วันนับแต่วันที่ได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ห้องชุด หากไม่แจ้งให้พนักงานเจ้าหน้าที่ทราบ มีโทษปรับไม่เกิน 10,000 บาท และปรับอีกไม่เกินวันละ 500 บาทตลอดระยะเวลาที่ฝ่าฝืนอยู่<br />
<br />
15.6 ผู้ใดได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ห้องชุดในขณะที่มีสัญชาติไทย ถ้าต่อมาผู้นั้นเสียสัญชาติไทย เพราะการสละสัญชาติไทย การแปลงสัญชาติ หรือถูกถอนสัญชาติไทยตามกฎหมายว่าด้วยสัญชาติ และมิได้เป็นคนต่างด้าวตามที่ระบุไว้ในมาตรา 19 ต้องแจ้งเป็นหนังสือให้พนักงานเจ้าหน้าที่ทราบถึงการที่ไม่อาจถือกรรมสิทธิ์ห้องชุดต่อไปได้ ภายในกำหนดเวลา 60 วันนับแต่วันที่เสียสัญชาติไทย หากไม่แจ้งให้พนักงานเจ้าหน้าที่ทราบ มีโทษปรับไม่เกิน 10,000 บาท และปรับอีกไม่เกินวันละ 500 บาทตลอดระยะเวลาที่ฝ่าฝืนอยู่<br />
<br />
15.7 ผู้ใดได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ห้องชุดในขณะที่มีสัญชาติไทย ถ้าต่อมาผู้นั้นเสียสัญชาติไทย เพราะการสละสัญชาติไทย การแปลงสัญชาติ หรือถูกถอนสัญชาติไทยตามกฎหมายว่าด้วยสัญชาติและเป็นคนต่างด้าวตามที่ระบุไว้ในมาตรา 19 ถ้าประสงค์จะมีกรรมสิทธิ์ในห้องชุดต่อไป ต้องแจ้งเป็นหนังสือให้พนักงานเจ้าหน้าที่ทราบถึงการเสียสัญชาติไทย และต้องแสดงหลักฐานว่าเป็นคนต่างด้าวตามมาตรา 19 มาแจ้งต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ภายใน 180 วันนับแต่วันที่เสียสัญชาติไทย หากไม่แจ้งให้พนักงานเจ้าหน้าที่ทราบ มีโทษปรับไม่เกิน 10,000 บาท และปรับอีกไม่เกินวันละ 500 บาทตลอดระยะเวลาที่ฝ่าฝืนอยู่<br />
<br />
15.8 นิติบุคคลซึ่งมีสัญชาติไทยและมีกรรมสิทธิ์ในห้องชุดอยู่แล้ว ถ้าต่อมาสภาพของนิติบุคคลนั้นเปลี่ยนแปลงไปเป็นนิติบุคคลซึ่งกฎหมายถือว่า เป็นคนต่างด้าว และมิใช่เป็นนิติบุคคลตามที่ระบุไว้ในมาตรา 19 ต้องแจ้งเป็นหนังสือให้พนักงานเจ้าหน้าที่ทราบถึงการเปลี่ยนสภาพ และการที่ไม่อาจถือกรรมสิทธิ์ในห้องชุดต่อไปได้ภายในกำหนดเวลา 60 วันนับแต่วันเปลี่ยนสภาพ หากไม่แจ้งให้พนักงานเจ้าหน้าที่ทราบ มีโทษปรับไม่เกิน 10,000 บาท และปรับอีกไม่เกินวันละ 500 บาทตลอดระยะเวลาที่ฝ่าฝืนอยู่<br />
<br />
15.9 นิติบุคคลซึ่งมีสัญชาติไทยและมีกรรมสิทธิ์ในห้องชุดอยู่แล้ว ถ้าต่อมาสภาพของนิติบุคคลนั้นเปลี่ยนแปลงไปเป็นนิติบุคคลซึ่งกฎหมายถือว่า เป็นคนต่างด้าว และเป็นนิติบุคคลตามที่ระบุไว้ในมาตรา 19 ถ้าประสงค์จะมีกรรมสิทธิ์ในห้องชุดต่อไปต้องแจ้งเป็นหนังสือให้พนักงานเจ้าหน้าที่ทราบและต้องนำหลักฐานว่าเป็นนิติบุคคลตามที่ระบุไว้ในมาตรา 19 มาแจ้งต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ภายใน 180 วันนับแต่วันที่เปลี่ยนสภาพ หากไม่แจ้งให้พนักงานเจ้าหน้าที่ทราบ มีโทษปรับไม่เกิน 10,000 บาท และปรับอีกไม่เกินวันละ 500 บาทตลอดระยะเวลาที่ฝ่าฝืนอยู่<br />
<br />
15.10 บุคคลใดถือกรรมสิทธิ์ในห้องชุดในฐานะเป็นเจ้าของแทนคนต่างด้าว หรือนิติบุคคลซึ่งกฎหมายถือว่าเป็นคนต่างด้าว ไม่ว่าคนต่างด้าวหรือนิติบุคคลดังกล่าวจะมีสิทธิถือกรรมสิทธิ์ในห้องชุดตามกฎหมายอาคารชุดหรือไม่ก็ตาม ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ<br />
<br />
15.11 ผู้จัดการนิติบุคคลอาคารชุดไม่ออกหนังสือรับรองการปลอดหนี้ให้แก่เจ้าของร่วมภายใน 15 วันนับแต่วันที่ได้รับคำร้องขอและเจ้าของร่วมได้ชำระหนี้ครบถ้วนแล้ว ปรับไม่เกิน 50,000 บาท และปรับอีกวันละไม่เกิน 500 บาทตลอดระยะเวลาที่ยังไม่ปฏิบัติให้ถูกต้อง<br />
<br />
15.12 ผู้จัดการนิติบุคคลอาคารชุดไม่นำมติแก้ไขหรือเพิ่มเติมข้อบังคับนิติบุคคลอาคารชุด ไปจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ภายใน 30 วันนับแต่วันที่ที่ประชุมใหญ่เจ้าของร่วมมีมติ ปรับ 5,000 บาท<br />
<br />
15.13 ผู้จัดการนิติบุคคลอาคารชุดซึ่งได้รับแต่งตั้งไม่นำหลักฐาน หรือสัญญาจ้างไปจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ภายใน 30 วันนับแต่วันที่ที่ประชุมใหญ่เจ้าของร่วมมีมติ ปรับ 5,000 บาท<br />
<br />
15.14 ผู้จัดการนิติบุคคลอาคารชุดไม่นำมติแต่งตั้งคณะกรรมการนิติบุคคลอาคารชุดไปจดทะเบียนภายใน 30 วันนับแต่วันที่ที่ประชุมใหญ่เจ้าของร่วมมีมติ ปรับไม่เกิน 5,000 บาท<br />
<br />
15.15 ผู้จัดการนิติบุคคลอาคารชุดไม่จัดให้มีการประชุมใหญ่สามัญครั้งแรกภายใน 6 เดือนนับแต่วันที่ได้จดทะเบียนนิติบุคคลอาคารชุด ปรับไม่เกิน 5,000 บาท<br />
<br />
15.16 ผู้จัดการนิติบุคคลอาคารชุดไม่จัดทำบัญชีรายรับรายจ่ายประจำเดือน และไม่ติดประกาศให้เจ้าของร่วมทราบภายใน15 วันนับแต่วันสิ้นเดือนและไม่ติดประกาศเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 15 วันต่อเนื่องกัน ฝ่าฝืนปรับไม่เกิน 50,000 บาท และปรับอีกวันละไม่เกิน 500 บาทตลอดระยะเวลาที่ยังไม่ปฏิบัติให้ถูกต้อง<br />
<br />
15.17 ประธานคณะกรรมการนิติบุคคลอาคารชุดไม่เรียกประชุมคณะกรรมการภายใน 7 วัน เมื่อกรรมการตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปร้องขอ ปรับประธานกรรมการ ไม่เกิน 5,000 บาท<br />
<br />
15.18 ประธานคณะกรรมการนิติบุคคลอาคารชุดไม่เรียกประชุมคณะกรรมการหนึ่งครั้งในทุกหกเดือนเป็นอย่างน้อย ปรับประธานกรรมกรไม่เกิน 5,000 บาท<br />
<br />
15.19 นิติบุคคลอาคารชุดไม่จัดทำงบดุลอย่างน้อยหนึ่งครั้งทุกรอบสิบสองเดือน ปรับไม่เกิน 10,000 บาท<br />
<br />
15.20 นิติบุคคลอาคารชุดไม่จัดให้มีผู้ตรวจสอบบัญชีรับรองงบดุล แล้วนำเสนอเพื่ออนุมัติในที่ประชุมใหญ่เจ้าของร่วมภายใน 120 วันนับแต่วันสิ้นปีทางบัญชี ปรับไม่เกิน 10,000 บาท ผู้จัดการนิติบุคคลต้องรับโทษปรับด้วย เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าตนมิได้มีส่วนในการกระทำความผิดนั้น<br />
<br />
15.21 นิติบุคคลอาคารชุดไม่จัดทำรายงานประจำปี และไม่นำส่งสำเนารายงานประจำปีดังกล่าวให้แก่เจ้าของร่วมก่อนวันนัดประชุมล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 7 วัน ปรับไม่เกิน 10,000 บาท ผู้จัดการนิติบุคคลต้องรับโทษปรับด้วย เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าตนมิได้มีส่วนในการกระทำความผิดนั้น<br />
<br />
15.22 เจ้าของร่วมดำเนินการก่อสร้าง ตกแต่ง ปรับปรุง เปลี่ยนแปลง หรือต่อเติมห้องชุดของตน โดยมิได้รับมติของที่ประชุมใหญ่เจ้าของร่วม มีโทษปรับไม่เกิน 100,000 บาท<br />
<br />
15.23 ผู้ใดไม่ปฏิบัติตามคำสั่ง ขัดขวางหรือไม่อำนวยความสะดวกแก่พนักงานเจ้าหน้าที่ในการเข้าไปในที่ดินและอาคารชุดที่ขอจดทะเบียนอาคารชุด ไม่มาตามหนังสือเรียก ไม่ให้ถ้อยคำ ชี้แจง ไม่จัดส่งเอกสารตามที่พนักงานเจ้าหน้าที่เรียก ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 เดือนหรือปรับไม่เกิน 6,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ<br />
<br />
<br />
<br />
Source: www.dol.go.th<br />
<br />
<span style="color: red;"><u><b>อื่นๆที่เกี่ยวข้อง</b></u></span><br />
<br />
<ul>
<li><a href="http://simple-laws.blogspot.com/2014/04/blog-post_1696.html">ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับกฎหมายอาคารชุด</a></li>
<li><a href="http://simple-laws.blogspot.com/2014/04/blog-post_20.html">อำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการนิติบุคคลอาคารชุด</a></li>
<li><a href="http://simple-laws.blogspot.com/2014/04/4-2551.html">สรุปสาระสำคัญของพระราชบัญญัติ อาคารชุด (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551</a></li>
<li><a href="http://simple-laws.blogspot.com/2014/04/blog-post.html">หน้าที่ของ ผู้จัดการนิติบุคคลอาคารชุด </a></li>
<li>บ<a href="http://simple-laws.blogspot.com/2014/04/blog-post_2290.html">ทบาท หน้าที่และอำนาจของ"เจ้าของร่วม"อาคารชุด</a></li>
</ul>
BTC Admin http://www.blogger.com/profile/17552179607270050206noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-224978953028537233.post-32554078722990405572014-04-20T09:10:00.002-07:002014-04-20T18:43:26.570-07:00สรุปสาระสำคัญของพระราชบัญญัติ อาคารชุด (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://1.bp.blogspot.com/-avgKuJn5-WQ/U1Px0KHQ78I/AAAAAAAASWU/Q3u1ebzSuhY/s1600/sakon.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="http://1.bp.blogspot.com/-avgKuJn5-WQ/U1Px0KHQ78I/AAAAAAAASWU/Q3u1ebzSuhY/s1600/sakon.jpg" height="152" width="200" /></a></div>
<br />
สรุปสาระสำคัญของพระราชบัญญัติ อาคารชุด (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551<br />
เนื่องด้วยพระราชบัญญัติอาคารชุด (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551 ได้ตีพิมพ์ในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2551 และจะมีผลบังคับเมื่อพ้นกำหนด 120 วันนับแต่ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป ดังนั้นพระราชบัญญัติอาคารชุด (ฉบับที่ 4 ) พ.ศ. 2551 นี้จึงมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 5 กรกฎาคม 2551 เป็นต้นไป<br />
<a name='more'></a><br />
สาระสำคัญบางประการของพระราชบัญญัติอาคารชุด (ฉบับที่ 4 ) พ.ศ. 2551 ที่แก้ไขเพิ่มเติมนั้น สามารถสรุปได้ดังต่อไปนี้<br />
1. คำนิยาม<br />
เพิ่มบทนิยาม ดังต่อไปนี้<br />
1.1 “การประชุมใหญ่” หมายความว่า การประชุมใหญ่สามัญหรือการประชุมใหญ่วิสามัญของเจ้าของร่วม แล้วแต่กรณี<br />
1.2 “คณะกรรมการ” หมายความว่า คณะกรรมการนิติบุคคลอาคารชุด<br />
1.3 “กรรมการ” หมายความว่า กรรมการนิติบุคคลอาคารชุด<br />
1.4 “ผู้จัดการ” หมายความว่า ผู้จัดการนิติบุคคลอาคารชุด<br />
2. เอกสารประกอบการยื่นคำขอจดทะเบียนอาคารชุด<br />
ผู้มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินและอาคารใดประสงค์จะจดทะเบียนที่ดินและอาคารนั้นให้เป็นอาคารชุด ให้ยื่นคำขอจดทะเบียนอาคารชุดต่อพนักงานเจ้าหน้าที่พร้อมหลักฐานและรายละเอียดดังต่อไปนี้<br />
(1) โฉนดที่ดิน<br />
(2) แผนผังอาคารชุด รวมทั้งเส้นทางเข้าออกสู่ทางสาธารณะ<br />
(3) รายละเอียดเกี่ยวกับห้องชุด ทรัพย์ส่วนบุคคล และทรัพย์ส่วนกลาง ได้แก่ จำนวนพื้นที่ ลักษณะการใช้ประโยชน์และอื่นๆ ตามที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด<br />
(4) อัตราส่วนที่เจ้าของห้องชุดแต่ละห้องชุดมีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์ส่วนกลางตามมาตรา 14<br />
(5) คำรับรองของผู้ยื่นคำขอว่าอาคารที่ขอจดทะเบียนอาคารชุดนั้นปราศจากภาระผูกพันใดๆ เว้นแต่การจำนองอาคารรวมกับที่ดิน<br />
(6) ร่างข้อบังคับของนิติบุคคลอาคารชุด<br />
(7) หลักฐานอื่นตามที่กำหนดในกฎกระทรวง<br />
ข้อสังเกต การเพิ่มเติมในส่วนนี้เนื่องจากมีปัญหาในทางปฏิบัติหลายประการ เช่น เจ้าของโครงการนำพื้นที่โดยรอบอาคารไปแสวงหาประโยชน์ ทั้งนี้เนื่องจากเดิมในการขอจดทะเบียนอาคารชุดไม่มีบทบัญญัติใดบังคับถึงช่องทางเข้าออกอาคารจากทางสาธารณะ รวมทั้งกฎหมายก่อสร้างก็มิได้กำหนดไว้โดยชัดแจ้งแต่อย่างใด<br />
3. การโฆษณาขายห้องชุดในอาคารชุด<br />
ในกรณีที่ผู้มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินและอาคาร ทำการโฆษณาขายห้องชุดในอาคารชุด ต้องเก็บสำเนาข้อความหรือภาพที่โฆษณา หรือหนังสือชักชวนที่นำออกโฆษณาแก่บุคคลทั่วไปไม่ว่าจะทำในรูปแบบใดไว้ในสถานที่ทำการจนกว่าจะมีการขายห้องชุดหมด และต้องส่งสำเนาเอกสารดังกล่าวให้นิติบุคคลอาคารชุดจัดเก็บไว้อย่างน้อยหนึ่งชุด<br />
การโฆษณาขายห้องชุดในอาคารชุดในส่วนที่เกี่ยวกับหลักฐานและรายละเอียดที่กำหนดไว้ในมาตรา 6 ข้อความหรือภาพที่โฆษณาจะต้องตรงกับหลักฐานและรายละเอียดที่ยื่นพร้อมคำขอจดทะเบียน และต้องระบุรายละเอียดเกี่ยวกับทรัพย์ส่วนกลางนอกจากที่บัญญัติไว้ในมาตรา 15 ให้ชัดเจน<br />
ให้ถือว่าข้อความหรือภาพที่โฆษณา หรือหนังสือชักชวนเป็นส่วนหนึ่งของสัญญาจะซื้อจะขายหรือสัญญาซื้อขายห้องชุด แล้วแต่กรณี หากข้อความหรือภาพใดมีความหมายขัดหรือแย้งกับข้อความในสัญญาจะซื้อจะขายหรือสัญญาซื้อขายห้องชุด ให้ตีความไปในทางเป็นคุณแก่ผู้จะซื้อหรือผู้ซื้อห้องชุด<br />
4. การทำสัญญาจะซื้อจะขายห้องชุด<br />
สัญญาจะซื้อจะขายหรือสัญญาซื้อขายห้องชุดระหว่างนั้นต้องทำตามแบบสัญญาที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด โดยหากมีส่วนใดมิได้กระทำตามแบบเช่นว่านั้นแล้ว สัญญาส่วนนั้นจะไม่มีผลบังคับใช้<br />
5. อัตราส่วนกรรมสิทธิ์ร่วมในทรัพย์ส่วนกลาง<br />
ให้อัตราส่วนในกรรมสิทธิ์ร่วมในทรัพย์ส่วนกลางของเจ้าของร่วมเป็นไปตามอัตราส่วนระหว่างเนื้อที่ของห้องชุดแต่ละชุดกับเนื้อที่ของห้องชุดทั้งหมดในอาคารชุดนั้นในขณะจดทะเบียน<br />
ข้อสังเกต ทั้งนี้บทบัญญัติเดิมกำหนดอัตราส่วนดังกล่าวโดย อาศัยอัตราส่วนระหว่างราคาของห้องชุดแต่ละห้องชุดกับราคารวมของห้องชุดทั้งหมดในขณะจดทะเบียน<br />
6. การประกอบการค้าในอาคารชุด<br />
การจัดพื้นที่ของอาคารชุดเพื่อประกอบการค้าต้องจัดระบบการเข้าออกในพื้นที่ดังกล่าวเป็นการเฉพาะ ไม่ให้รบกวนความเป็นอยู่โดยปกติสุขของเจ้าของร่วม<br />
7. การออกค่าใช้จ่ายส่วนรวมและค่าภาษีอากร รวมทั้งเงินเพิ่มในกรณีไม่ชำระเงินดังกล่าว<br />
กำหนดให้ผู้มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินและอาคารตามมาตรา 6 เป็นเจ้าของร่วมในห้องชุดที่ยังไม่มีการโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่บุคคลใดบุคคลหนึ่ง และต้องร่วมออกค่าใช้จ่ายสำหรับห้องชุดดังกล่าวนั้นด้วย<br />
หากเจ้าของร่วมไม่ชำระเงินตามมาตรา 18 ในกำหนด ต้องเสียเงินเพิ่มในอัตราไม่เกิน 12 % ต่อปี และหากค้างชำระตั้งแต่ 6 เดือนขึ้นไปต้องเสียเงินเพิ่มในอัตราไม่เกิน 20 ต่อปี และอาจถูกระงับการให้บริการส่วนรวมหรือการใช้ทรัพย์ส่วนกลางตามที่กำหนดในข้อบังคับ รวมทั้งไม่มีสิทธิออกเสียงในการประชุมใหญ่<br />
8. ยกเลิกบทบัญญัติในส่วนที่เกี่ยวกับการถือกรรมสิทธิ์ในห้องชุดของบุคคลต่างด้าว<br />
ยกเลิกบทบัญญัติที่ให้คนต่างด้าวและหรือนิติบุคคลตามที่ระบุไว้ในมาตรา 19 ถือกรรมสิทธิ์ในห้องชุดเกินกว่า 49 % ได้หากอาคารชุดอยู่ในเขต กรุงเทพมหานครเขตเทศบาล หรือเขตราชการส่วนท้องถิ่นอื่นที่กำหนดในกฎกระทรวง และมีที่ดินที่ตั้งอาคารชุดรวมกับที่ดินที่มีไว้เพื่อใช้หรือเพื่อประโยชน์ร่วมกันสำหรับเจ้าของร่วมทั้งหมดไม่เกินห้าไร่<br />
ข้อสังเกต ดังนั้นการถือกรรมสิทธิ์ในห้องชุดของบุคคลต่างด้าวหรือนิติบุคคลตามที่ระบุไว้ในมาตรา 19 นั้น จึงเป็นไปได้ในกรณีเดียวเท่านั้น คือ เมื่อรวมกันแล้วต้องถือกรรมสิทธิ์ไม่เกิน 49 % ของเนื้อที่ของห้องชุดทั้งหมดในอาคารชุดนั้น ในขณะที่ขอจดทะเบียนอาคารชุด<br />
9. การจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเกี่ยวกับห้องชุด<br />
กำหนดเพิ่มเติมให้ผู้จัดการต้องดำเนินการออกหนังสือรับรองการปลอดหนี้ให้แก่เจ้าของร่วมภายใน 15 วันนับแต่วันที่ได้รับคำร้องขอและเจ้าของร่วมได้ชำระหนี้อันเกิดจากค่าใช้จ่ายตามมาตรา 18 ครบถ้วนแล้ว<br />
ข้อสังเกต เดิมมิได้มีการกำหนดว่าเมื่อมีการร้องขอผู้จัดการจะต้องดำเนินการออกหนังสือรับรองการปลดหนี้ให้แก่เจ้าของร่วมเมื่อใด ดังนั้นอาจทำให้เกิดความล่าช้า หรือความไม่สะดวกแก่เจ้าของร่วมได้<br />
10. ข้อบังคับของอาคารชุด<br />
การแก้ไขหรือเพิ่มเติมข้อบังคับที่ได้จดทะเบียนไว้ จะกระทำได้โดยมติที่ประชุมใหญ่เจ้าของร่วม และผู้จัดการต้องนำไปจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ภายใน 30 วันนับแต่วันที่ที่ประชุมใหญ่เจ้าของร่วมมีมติ<br />
ข้อสังเกต เดิมมิได้มีการกำหนดว่าเมื่อมีการแก้ไขเพิ่มเติมข้อบังคับแล้ว จะต้องจดทะเบียนการแก้ไขเพิ่มเติมนั้นาภายในเวลาเท่าใด โดยเพียงแต่กำหนดว่าหากมิได้มีการจดทะเบียนการเปลี่ยนแปลงข้อบังคับนั้นจะไม่สมบูรณ์เท่านั้น<br />
11. กำหนดคุณสมบัติ การแต่งตั้ง การพ้นจากตำแหน่งของผู้จัดการอาคารชุด<br />
ผู้จัดการต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 25 ปี และไม่มีลักษณะต้องห้ามตามพระราชบัญญัติอาคารชุด (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551 นี้ เช่นไม่เป็นบุคคลล้มละลาย ไม่เป็นคนเสมือนไร้ความสามารถหรือเสมือนไร้ความสามารถ เคยถูกถอดถอนจากการเป็นผู้จัดการเพราะเหตุทุจริต หรือมีความประพฤติเสื่อมเสีย ฯลฯ<br />
การแต่งตั้งผู้จัดการให้เป็นไปตามมติที่ประชุมใหญ่เจ้าของร่วม และให้ไปจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ภายใน 30 วันนับแต่วันที่ที่ประชุมใหญเจ้าของร่วมมีมติ<br />
รวมทั้งกำหนดกรณีที่ผู้จัดการจะพ้นจากตำแหน่ง เช่น ตายหรือสิ้นสภาพการเป็นนิติบุคคล ลาออก ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้าม ฯลฯ<br />
ข้อสังเกต การเพิ่มเติมในส่วนนี้เนื่องจากในทางปฏิบัติ เจ้าของโครงการมักส่งตัวแทนของตนเป็นผู้จัดการนิติบุคคลอาคารชุดแล้วอาศัยเป็นช่องทางในการเอาเปรียบต่อผู้พักอาศัย เช่น ทำให้เจ้าของอาคารชุดไม่ต้องชำระค่าใช้จ่ายส่วนกลางสำหรับห้องชุดที่ยังขายไม่ได้ หรือการนำเงินค่าใช้จ่ายส่วนกลางไปใช้จ่ายโดยไม่มีการจัดทำหลักฐานทางบัญชี เป็นต้น<br />
12. กำหนดให้มีคณะกรรมการนิติบุคคลอาคารชุด<br />
ให้มีคณะกรรมการนิติบุคคลอาคารชุดซึ่งตั้งโดยที่ประชุมใหญ่เจ้าของร่วมประกอบด้วยกรรมการไม่น้อยกว่า 3 คนแต่ไม่เกิน 9 คน โดยกรรมการมีวาระการดำรงตำแหน่งคราวละ 2 ปี เมื่อพ้นวาระแล้วอาจได้รับแต่งตั้งอีกได้ แต่จะดำรงตำแหน่งเกิน 2 วาระติดต่อกันไม่ได้<br />
การแต่งตั้งกรรมการ ให้ผู้จัดการนำไปจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ภายใน 30 วันนับแต่วันที่ที่ประชุมใหญ่เจ้าของร่วมมีมติ<br />
ข้อสังเกต มีเหตุผลในการกำหนดบทบัญญัติในส่วนของนิติบุคคลอาคารชุดเช่นเดียวกับการเพิ่มเติมบทบัญญัติในส่วนของผู้จัดการอาคารชุด กล่าวคือในทางปฏิบัติ เจ้าของโครงการมักส่งตัวแทนของตนเป็นกรรมการนิติบุคคลอาคารชุดแล้วอาศัยเป็นช่องทางในการเอาเปรียบต่อผู้พักอาศัย<br />
13. กำหนดคุณสมบัติ ลักษณะต้องห้าม การพ้นจากตำแหน่งของคณะกรรมการนิติบุคคลอาคารชุด<br />
กำหนดบุคคลที่มีสิทธิได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมการ คือ เป็นเจ้าของร่วมหรือคู่สมรสของเจ้าของร่วม เป็นผู้แทนโดยชอบธรรม ผู้อนุบาล หรือผู้พิทักษ์ในกรณีที่เจ้าของร่วมเป็นผู้เยาว์ คนไร้ความสามารถ หรือคนเสมือนไร้ความสามารถ แล้วแต่กรณี หรือเป็นตัวแทนของนิติบุคคลจำนวนหนึ่งคนในกรณีที่นิติบุคคลเป็นเจ้าของร่วม<br />
บุคคลที่จะได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมการต้องไม่มีลักษณะต้องห้าม เช่นเป็นผู้เยาว์ หรือคนไร้ความสามารถหรือคนเสมือนไร้ความสามารถ เคยถูกที่ประชุมใหญ่เจ้าของร่วมให้พ้นจากตำแหน่งกรรมการ หรือถอดถอนจากการเป็นผู้จัดการเพราะเหตุทุจริต หรือมีความประพฤติเสื่อมเสีย หรือบกพร่องในศีลธรรมอันดี เป็นต้น รวมทั้งกรณีที่จะพ้นจากตำแหน่ง เช่น ตาย ลาออก ฯลฯ<br />
14. การประชุมคณะกรรมการนิติบุคคลอาคารชุด<br />
กำหนดให้การเรียกประชุมกระทำได้ 2 วิธี คือ ประธานกรรมการเป็นผู้เรียกประชุมคณะกรรมการ หรือหากกรรมการตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปร้องขอ ให้ประธานเรียกประชุมภายใน 7 วันนับแต่ได้รับการร้องขอ<br />
โดยองค์ประชุมคณะกรรมการนั้น กำหนดให้ประกอบด้วยกรรมการไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของกรรมการทั้งหมด และการลงมติให้ถือเสียงข้างมาก<br />
15. อำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการนิติบุคคลอาคารชุด<br />
กำหนดอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการ ดังต่อไปนี้<br />
(1) ควบคุมการจัดการนิติบุคคลอาคารชุด<br />
(2) แต่งตั้งกรรมการคนหนึ่งเป็นผู้จัดการ ในกรณีไม่มีผู้จัดการหรือผู้จัดการไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ตามปกติได้เกิน 7 วัน<br />
(3) จัดประชุมคณะกรรมการ 1 ครั้ง ทุก 6 เดือนเป็นอย่างน้อย<br />
(4) หน้าที่อื่นตามที่กำหนดในกฎกระทรวง<br />
16. การจัดทำงบดุลและการจัดทำรายงานประจำปี<br />
กำหนดให้นิติบุคคลอาคารชุดจัดทำงบดุล อย่างน้อย 1 ครั้ง ในทุกรอบ 12 เดือน รวมทั้งเสนอเพื่ออนุมัติในที่ประชุมใหญ่เจ้าของร่วมใน 120 วันนับแต่วันสิ้นปีทางบัญชี รวมทั้งจัดทำรายงานประจำปีแสดงผลการดำเนินงานเสนอที่ประชุมใหญ่เจ้าของร่วม ทั้งนี้ต้องส่งสำเนาเอกสารรายงานประจำปีก่อนวันนัดประชุมใหญ่ไม่น้อยกว่า 7 วัน<br />
17. การจัดประชุมใหญ่สามัญและการเรียกประชุมใหญ่<br />
17.1 การประชุมใหญ่สามัญครั้งแรก<br />
กำหนดให้ผู้จัดการจัดให้มีการประชุมใหญ่สามัญครั้งแรกภายใน 6 เดือนนับแต่วันที่ได้จดทะเบียนนิติบุคคลอาคารชุด<br />
17.2 การประชุมใหญ่สามัญ<br />
กำหนดให้คณะกรรมการจัดให้มีการประชุมใหญ่สามัญปีละ 1 ครั้ง ภายใน 120 วันนับแต่วันสิ้นปีทางบัญชีของนิติบุคคลอาคารชุด<br />
17.3 การประชุมใหญ่วิสามัญ<br />
กรณีมีเหตุจำเป็น ให้บุคคลดังต่อไปนี้มีสิทธิเรียกประชุมใหญ่วิสามัญเมื่อใดก็ได้<br />
(1) ผู้จัดการ<br />
(2) คณะกรรมการโดยมติเกินกว่ากึ่งหนึ่งของที่ประชุมคณะกรรมการ<br />
(3) เจ้าของร่วมไม่น้อยกว่า 20 % ของคะแนนเสียงเจ้าของร่วมทั้งหมดลงลายมือชื่อทำหนังสือร้องขอให้เปิดประชุมต่อคณะกรรมการ ซึ่งต้องจัดให้มีการประชุมใน 15 วันนับแต่วันรับคำร้องขอ มิเช่นนั้นแล้วเจ้าของร่วมตามจำนวนดังกล่าวสามารถจัดการประชุมใหญ่วิสามัญเองได้<br />
การเรียกประชุมใหญ่ต้องทำเป็นหนังสือนัดประชุม โดยระบุสถานที่ วัน เวลา ระเบียบวาระการประชุม และเรื่องที่จะเสนอต่อที่ประชุมพร้อมรายละเอียดตามสมควรและจัดส่งให้เจ้าของร่วมไม่น้อยกว่า 7 วันก่อนประชุม<br />
ในส่วนขององค์ประชุมนั้น กำหนดให้องค์ประชุมต้องมีผู้มาประชุมซึ่งมีเสียงลงคะแนนรวมกันไม่น้อยกว่า 1 ใน 4 ของจำนวนเสียงลงคะแนนทั้งหมด โดยในการประชุมนั้นเจ้าของร่วมอาจมอบฉันทะเป็นหนังสือให้ผู้อื่นออกเสียงแทนตนได้<br />
ข้อสังเกต การเพิ่มเติมบทบัญญัติในส่วนนี้ ก็เพื่อลดช่องว่างในการที่ผู้จัดการนิติบุคคลอาคารชุดจะเข้าดำเนินกิจการต่างๆ ของนิติบุคคลอาคารชุดไปโดยพลการ โดยให้มีการร่วมหารือแก้ไขปัญหาต่างๆ เสียก่อน ทั้งนี้เพื่อมิให้เจ้าของร่วมอาคารชุดต้องถูกเอาเปรียบโดยเจ้าของโครงการ หรือผู้จัดการนิติบุคคลอาคารชุดในการเก็บค่าใช้จ่าย หรือค่าบริการเพิ่มเติมโดยพลการ<br />
18. เพิ่มเติมบทบัญญัติเกี่ยวกับพนักงานเจ้าหน้าที่<br />
กำหนดให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจต่างๆ ในการตรวจสอบเอกสาร บัญชี หลักฐาน รวมถึงการเข้าไปในที่ดินและอาคารที่ขอจดทะเบียนอาคารชุด เพื่อตรวจสอบเอกสารต่างๆ<br />
19. บทกำหนดโทษ<br />
เพิ่มบทบัญญัติในหมวด 8 บทกำหนดโทษ ในมาตรา 63 ถึงมาตรา 73 สำหรับการฝ่าฝืนบทบัญญัติต่างๆ ตามพระราชบัญญัติอาคารชุดนี้<br />
ข้อสังเกต เนื่องจากแต่เดิมนั้นแม้ว่าบทบัญญัติส่วนมากได้กำหนดให้กระทำการ แต่ก็มิได้มีบทกำหนดโทษไว้ ดังนั้นจึงไม่มีผลในทางบังคับ การเพิ่มเติมบทบัญญัติในส่วนของบทกำหนดโทษนี้ จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อให้บทบัญญัติต่างๆ ตามพระราชบัญญัติอาคารชุดนี้ มีผลในทางบังคับนั่นเอง<br />
สรุปสาระสำคัญบางประการในหนังสือฉบับนี้เป็นเพียงข้อมูลเบื้องต้นสำหรับผู้อ่านเท่านั้น แต่มิใช่คำแนะนำทางกฎหมาย และไม่มีผลผูกพันผู้ให้ข้อมูล<br />
<br />
<span style="color: red;"><u><b>อื่นๆที่เกี่ยวข้อง</b></u></span><br />
<br />
<ul>
<li><a href="http://simple-laws.blogspot.com/2014/04/blog-post_1696.html">ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับกฎหมายอาคารชุด</a></li>
<li><a href="http://simple-laws.blogspot.com/2014/04/blog-post_20.html">อำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการนิติบุคคลอาคารชุด</a></li>
<li><a href="http://simple-laws.blogspot.com/2014/04/4-2551.html">สรุปสาระสำคัญของพระราชบัญญัติ อาคารชุด (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551</a></li>
<li><a href="http://simple-laws.blogspot.com/2014/04/blog-post.html">หน้าที่ของ ผู้จัดการนิติบุคคลอาคารชุด </a></li>
<li>บ<a href="http://simple-laws.blogspot.com/2014/04/blog-post_2290.html">ทบาท หน้าที่และอำนาจของ"เจ้าของร่วม"อาคารชุด</a></li>
</ul>
BTC Admin http://www.blogger.com/profile/17552179607270050206noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-224978953028537233.post-77864233961021387652014-04-20T09:06:00.003-07:002014-04-20T18:43:37.866-07:00บทบาท หน้าที่และอำนาจของ"เจ้าของร่วม"อาคารชุด<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://4.bp.blogspot.com/-0fyIN6l5iaM/U1Pv-BpH_jI/AAAAAAAASWI/6ZHhIjzLdD4/s1600/2013-06-05-5112894.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="http://4.bp.blogspot.com/-0fyIN6l5iaM/U1Pv-BpH_jI/AAAAAAAASWI/6ZHhIjzLdD4/s1600/2013-06-05-5112894.jpg" height="240" width="320" /></a></div>
<br />
<a name='more'></a><br />
บทบาท หน้าที่และอำนาจของ"เจ้าของร่วม" ซึ่งก็คือลูกบ้านที่อาศัยในอาคารชุดทุกคน ว่าแต่ละคนมีบทบาทหน้าที่อย่างไรในการอยู่ร่วมกัน<br />
หน้าที่ของเจ้าของร่วม เป็นหน้าที่ของเจ้าของห้องชุดแต่ละห้องที่จะต้องจัดให้มีคณะกรรมการเข้าควบคุมการจัดการนิติบุคคลอาคารชุด โดยจะต้องร่วมแรงร่วมใจร่วมกันตรวจสอบการบริหารงานของนิติบุคคลอาคารชุดว่าเป็นไปตามข้อบังคับของนิติบุคคลอาคารชุดนั้นๆ หรือไม่ หากเห็นว่าผู้จัดการนิติบุคคลอาคารชุดปฏิบัติหน้าที่ขี้ฉ้อ บกพร่อง ด้อยประสิทธิภาพ มีการทุจริตโกงกิน ส่งผลให้เกิดปัญหากับอาคารชุด ประชาชนชาวคอนโดฯที่เป็นเจ้าของห้องชุดมีสิทธิเรียกประชุมเจ้าของห้องชุด เพื่อให้ผู้จัดการนิติบุคคลอาคารชุดชี้แจงได้ หากผู้จัดการนิติบุคคลอาคารชุดไม่ชี้แจงหรือข้อเท็จจริงฟังได้ว่าปฏิบัติหน้าที่บกพร่อง ก่อให้เกิดความเสียหายแก่คอนโด เจ้าของห้องชุดก็สามารถนำเรื่องดังกล่าวเสนอต่อที่ประชุมเจ้าของร่วมทั้งหมด เพื่อมีมติถอดถอนผู้จัดการนิติบุคคลอาคารคนนั้นได้<br />
<br />
บทบาท หน้าที่และอำนาจของ “ เจ้าของร่วม ”ด้านการประชุมและการลงคะแนนเสียง<br />
<br />
1. มีสิทธิเข้าชื่อกันให้ได้คะแนนเสียง 1 ใน 4 ของคะแนนเสียงทั้งหมดของเจ้าของร่วม เพื่อให้คณะกรรมการอาคารชุดและ/หรือผู้จัดการนิติบุคคลอาคารชุด เรียกประชุมใหญ่วิสามัญได้<br />
<br />
2. มีสิทธิเข้าร่วมประชุมใหญ่สามัญและวิสามัญประจำปี<br />
<br />
3. มีสิทธิลงคะแนนเสียงตามอัตราส่วนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์ส่วนกลางของตน (อัตราส่วนกรรมสิทธิ์ดูได้จากหนังสือกรรมสิทธิ์ห้องชุด)หรือมอบฉันทะการลงคะแนนเสียงให้กับบุคคลอื่นในเรื่องต่าง ๆ ในที่ประชุมใหญ่ได้ เช่น<br />
<br />
3.1. การอนุญาตให้เจ้าของร่วมคนใดคนหนึ่งก่อสร้าง หรือต่อเติมอาคารที่มีผลต่อทรัพย์ส่วนกลาง หรือลักษณะภายนอกอาคาร<br />
3.2. การจัดตั้งเงินกองทุน<br />
3.3. การเปลี่ยนแปลงวัตถุประสงค์ในการใช้จ่ายเงินกองทุน<br />
3.4. การแต่งตั้งหรือถอดถอนผู้จัดการนิติบุคคลอาคารชุด<br />
3.5. การกำหนดกิจการที่ผู้จัดการนิติบุคคลอาคารชุดมีอำนาจมอบหมายให้ผู้อื่นกระทำการแทนได้<br />
3.6. การก่อสร้างหรือซ่อมแซมอาคารชุดที่เสียหายทั้งหมดหรือบางส่วน<br />
3.7. การแก้ไข/เปลี่ยนแปลงอัตราการจัดเก็บค่าใช้จ่ายส่วนกลางตามที่กำหนดไว้ในข้อบังคับ<br />
3.8. การแต่งตั้งคณะกรรมการ วาระการดำรงตำแหน่งและการพ้นตำแหน่งของคณะกรรมการ<br />
3.9. การซื้ออสังหาริมทรัพย์หรือรับโอนอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งมีค่าภาระติดพันทรัพย์ส่วนกลาง<br />
3.10. การแก้ไข/เพิ่มเติมข้อบังคับของอาคารชุดเกี่ยวกับการใช้หรือจัดการทรัพย์ส่วนกลาง<br />
3.11. การก่อสร้างอันเป็นการเปลี่ยนแปลง/เพิ่มเติม หรือปรับปรุงทรัพย์ส่วนกลาง นอกจากที่กำหนดไว้ในข้อบังคับ<br />
3.12. การจำหน่ายทรัพย์ส่วนกลางที่เป็นอสังหาริมทรัพย์<br />
3.13. การยกเลิกอาคารชุด<br />
4. มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นคณะกรรมการอาคารชุด<br />
<br />
ด้านการบำรุงรักษาระบบสาธารณูปโภคและทรัพย์ส่วนกลางอื่น ๆ<br />
<br />
1. มีหน้าที่ต้องชำระค่าใช้จ่ายส่วนกลาง ค่าน้ำประปาและค่าใช้จ่ายอื่น ๆ เพื่อใช้ในการบำรุงรักษาระบบสาธารณูปโภคและทรัพย์ส่วนกลางของอาคารให้อยู่ในสภาพปกติพร้อมใช้งานตลอดเวลา<br />
<br />
2. มีหน้าที่ดูแลรักษาทรัพย์ส่วนตัวให้อยู่ในสภาพเรียบร้อย รวมทั้งดูแลรักษาทรัพย์ส่วนกลางที่อยู่ภายในห้องชุดให้อยู่ในสภาพเรียบร้อยและสามารถใช้งานได้เป็นปกติตลอดเวลา เช่น ระบบไฟฟ้า ระบบสุขาภิบาล เป็นต้น<br />
<br />
3. ควรปฏิบัติตามข้อบังคับของนิติบุคคลอาคารชุดอย่างเคร่งครัด เพราะข้อบังคับเปรียบเสมือนธรรมนูญที่ใช้ในการอยู่อาศัยร่วมกันของเจ้าของร่วม<br />
<br />
4. ควรปฏิบัติตามระเบียบของนิติบุคคลอาคารชุด เช่น ระเบียบเรื่องการต่อเติมตกแต่งภายในห้องชุด ซึ่งจะต้องได้รับอนุญาตก่อนทุกครั้งเป็นต้น<br />
<br />
5. ควรปฏิบัติตามระเบียบอื่น ๆ ซึ่งกำหนดโดยที่ประชุมใหญ่เจ้าของร่วมหรือที่ประชุมคณะกรรมการอาคารชุด ทั้งนี้ต้องไม่ขัดต่อข้อบังคับของนิติบุคคลอาคารชุดหรือพระราชบัญญัติอาคารชุด<br />
<br />
6. ควรมีน้ำใจต่อเพื่อนบ้านและเคารพสิทธิของกันและกัน<br />
<br />
<br />
<span style="color: red;"><u><b>อื่นๆที่เกี่ยวข้อง</b></u></span><br />
<br />
<ul>
<li><a href="http://simple-laws.blogspot.com/2014/04/blog-post_1696.html">ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับกฎหมายอาคารชุด</a></li>
<li><a href="http://simple-laws.blogspot.com/2014/04/blog-post_20.html">อำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการนิติบุคคลอาคารชุด</a></li>
<li><a href="http://simple-laws.blogspot.com/2014/04/4-2551.html">สรุปสาระสำคัญของพระราชบัญญัติ อาคารชุด (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551</a></li>
<li><a href="http://simple-laws.blogspot.com/2014/04/blog-post.html">หน้าที่ของ ผู้จัดการนิติบุคคลอาคารชุด </a></li>
<li>บ<a href="http://simple-laws.blogspot.com/2014/04/blog-post_2290.html">ทบาท หน้าที่และอำนาจของ"เจ้าของร่วม"อาคารชุด</a></li>
</ul>
BTC Admin http://www.blogger.com/profile/17552179607270050206noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-224978953028537233.post-25088685999408542692014-04-20T08:58:00.004-07:002014-04-20T18:43:49.729-07:00อำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการนิติบุคคลอาคารชุด <div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://2.bp.blogspot.com/-kDxVKmqw4Ak/U1PuYYpV0_I/AAAAAAAASV8/GMgqUnbbZqM/s1600/151944.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="http://2.bp.blogspot.com/-kDxVKmqw4Ak/U1PuYYpV0_I/AAAAAAAASV8/GMgqUnbbZqM/s1600/151944.jpg" height="185" width="200" /></a></div>
อำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการนิติบุคคลอาคารชุด<br />
<a name='more'></a><br />
<br />
นิติบุคคลอาคารชุด เป็นสำนักจัดการดูแลทรัพย์สินส่วนกลางของคอนโดมิเนียม มีฐานะเป็นนิติบุคคล ประกอบด้วย คณะกรรมการควบคุมการจัดการนิติบุคคลอาคารชุด ทำหน้าที่ เป็นผู้บริหารจัดการดูแลทรัพย์ส่วนกลางในนามของนิติบุคคลอาคารชุด การปฏิบัติงานต่างๆจะเป็นไปตามข้อบังคับของนิติบุคคลอาคารชุด ซึ่งอาคารชุดแต่ละแห่งจะมีระเบียบภายในของแต่ละอาคารชุดที่ไม่เหมือนกัน แม้กฎหมายอาคารชุดจะใช้ฉบับเดียวกันก็ตาม ในแต่ละคอนโดจะมีผู้จัดการนิติบุคคลอาคารชุดเป็นผู้ดำเนินการแทนนิติบุคคลอาคารชุดนั้นๆ ผู้จัดการนิติบุคคลอาคารชุดจะเป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลก็ได้ต่อไปก็ถึง คณะกรรมการนิติบุคคลอาคารชุด<br />
<br />
อำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการนิติบุคคลอาคารชุด<br />
<br />
1. ควบคุม ดูแลและตรวจสอบการจัดการนิติบุคคลอาคารชุด ซึ่งผู้จัดการเป็นผู้ดำเนินการให้เป็นไปตามอำนาจหน้าที่และความรับผิดชอบ ตามที่กำหนดไว้ในข้อบังคับนี้ หรือตามมติที่ประชุมใหญ่ได้มอบหมายใว้<br />
<br />
2. มีอำนาจหน้าที่ในการกำหนดนโยบายให้ผู้จัดการ เพื่อนำไปปฏิบัติ กำหนดระเบียบและมาตรการต่างๆ ที่อยู่ในขอบเขตของกฏหมาย และข้อบังคับนิติบุคคลอาคารชุด<br />
<br />
3. มีอำนาจวินิจฉัยเรื่องราว คำร้องขอต่างๆ และตัดสินปัญหาขัดแย้งที่เกิดในอาคารชุด รวมทั้งพิจารณาเรื่องอื่นๆ ภายในขอบเขตของกฏหมาย และข้อบังคับนิติบุคคลอาคารชุด<br />
<br />
4. มีอำนาจหน้าที่พิจารณาและอนุมัติเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น ตลอดจนพิจารณาและเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายที่เกินงบประมาณที่ได้จัดไว้ในกรณีที่เห็นว่ามีความจำเป็นต่อสภาพความเป็นอยู่ของเจ้าของร่วม หรือความมั่นคงปลอดภัย หรือสภาพทางสถาปัตยกรรมของอาคาร<br />
<br />
5. มีอำนาจหน้าที่ในการทำนิติกรรม หรืออนุมัติให้ผู้จัดการ หรือบุคคลใดกระทำนิติกรรมในนามนิติบุคคลอาคารชุด กับบุคคลภายนอก<br />
<br />
6. มีอำนาจเรียกประชุมใหญ่ตามที่ข้อบังคับได้กำหนด หรือเมื่อมีเหตุจำเป็นที่ต้องขอมติจากเจ้าของร่วม<br />
<br />
7. พิจารณาและมีอำนาจผ่อนผัน งด ลด เบี้ยปรับหรือผ่อนผันการดำเนินมาตรการ สำหรับผู้ที่ฝ่าฝืนข้อบังคับนี้ ทั้งนี้คณะกรรมการต้องมีมติด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่าสามในสี่<br />
<br />
8. มีอำนาจพิจารณาชี้ขาดว่า การกระทำใดอย่างใดต่อทรัพย์สินส่วนบุคคล อันจะเป็นการกระทบกระเทือนต่อโครงสร้างความมั่นคง การป้องกันความเสียหายต่อตัวอาคาร หรือการอื่น ตามที่กำหนดไว้ในข้อบังคับ หรือการกระทำอย่างใดของเจ้าของร่วมอันจะมีผล<br />
กระทบต่อทรัพย์ส่วนกลาง หรือลักษณะภายนอกอาคาร หรือการก่อสร้างใดๆ อันจะเป็นการเปลี่ยนแปลงเพิ่มเติม หรือปรับปรุงทรพย์สินส่วนกลาง อันเป็นการฝ่าฝืนกฎข้อบังคับ หรือกฎระเบียบอาคารชุด ทั้งนี้ คำวินิจฉัยชี้ขาดถือเป็นเด็ดขาด<br />
<br />
<span style="color: red;"><u><b>อื่นๆที่เกี่ยวข้อง</b></u></span><br />
<br />
<ul>
<li><a href="http://simple-laws.blogspot.com/2014/04/blog-post_1696.html">ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับกฎหมายอาคารชุด</a></li>
<li><a href="http://simple-laws.blogspot.com/2014/04/blog-post_20.html">อำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการนิติบุคคลอาคารชุด</a></li>
<li><a href="http://simple-laws.blogspot.com/2014/04/4-2551.html">สรุปสาระสำคัญของพระราชบัญญัติ อาคารชุด (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551</a></li>
<li><a href="http://simple-laws.blogspot.com/2014/04/blog-post.html">หน้าที่ของ ผู้จัดการนิติบุคคลอาคารชุด </a></li>
<li>บ<a href="http://simple-laws.blogspot.com/2014/04/blog-post_2290.html">ทบาท หน้าที่และอำนาจของ"เจ้าของร่วม"อาคารชุด</a></li>
</ul>
BTC Admin http://www.blogger.com/profile/17552179607270050206noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-224978953028537233.post-62968593246416188032014-04-20T08:47:00.001-07:002014-04-23T09:00:56.869-07:00หน้าที่ของผู้จัดการนิติบุคคลอาคารชุด<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://1.bp.blogspot.com/-gHUbBNwPSIA/U1PtG1KwMRI/AAAAAAAASVw/nAtJzUXnEpc/s1600/bd.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="http://1.bp.blogspot.com/-gHUbBNwPSIA/U1PtG1KwMRI/AAAAAAAASVw/nAtJzUXnEpc/s1600/bd.jpg" height="133" width="200" /></a></div>
นิติบุคคลอาคารชุด เป็นสำนักจัดการดูแลทรัพย์สินส่วนกลางของคอนโดมิเนียม มีฐานะเป็นนิติบุคคล ประกอบด้วย คณะกรรมการควบคุมการจัดการนิติบุคคลอาคารชุด ทำหน้าที่ เป็นผู้บริหารจัดการดูแลทรัพย์ส่วนกลางในนามของนิติบุคคลอาคารชุด<br />
<a name='more'></a>การปฏิบัติงานต่างๆจะเป็น ไปตามข้อบังคับของนิติบุคคลอาคารชุด ซึ่งอาคารชุดแต่ละแห่งจะมีระเบียบภายในของแต่ละอาคารชุดที่ไม่เหมือนกัน แม้กฎหมายอาคารชุด จะใช้ฉบับเดียวกันก็ตาม ในแต่ละคอนโดจะมีผู้จัดการนิติบุคคลอาคารชุดเป็นผู้ดำเนินการแทนนิติบุคคลอาคารชุดนั้นๆ ผู้จัดการนิติบุคคลอาคารชุดจะเป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลก็ได้<br />
<br />
เจ้าของร่วมหรือผู้พักอาศัยในคอนโด อาจจะประสบปัญหามากมาย ทั้งเรื่องที่จอดรถไม่พอ มีรถบุคคลภายนอกเข้าจอดมากีดขวางรถของผู้พักอาศัย การป้องกันอัคคีภัยไม่ได้มาตรฐาน ซื้อคอนโดแล้วไม่ได้โอน ค่าส่วนกลางแพง มิเตอร์น้ำ ไฟ ไม่เป็นธรรม คนข้างห้องส่งเสียงดัง และอีกสารพัดสารพันปัญหาที่ต้องพบเจอเมื่ออยู่คอนโด แต่ก็เป็นปัญหาที่แก้ไขได้ ด้วยการร่วมด้วยช่วยกัน ขอเพียงอย่าปัดปัญหาให้พ้นตัว การปัดปัญหาให้พ้นตัว คือการก่อปัญหา เพราะทุกคนมีส่วนร่วมในการบริหาร นิติบุคคลอาคารชุด<br />
เพื่อประโยชน์ร่วมกันของผู้พักอาศัยทุกคน<br />
<br />
อันดับแรกจะขอพูดถึง หน้าที่ของผู้จัดการนิติบุคคลอาคารชุด ก่อนจะกล่าวถึงคณะกรรมการนิติบุคคลอาคารชุด และสุดท้ายคือ "เจ้าของร่วม" หรือผู้ที่อาศัยอยู่ร่วมกันในอาคารชุด ทุกคนก็มีอำนาจ และบทบาทหน้าที่ของตนเองเช่นกัน<br />
<br />
หน้าที่ของผู้จัดการนิติบุคคลอาคารชุด<br />
<br />
1. จัดการเรื่องต่าง ๆ เพื่อประโยชน์ในการจัดการ และดูแลทรัพย์ส่วนกลางให้อยู่ในสภาพปกติเรียบร้อยพร้อมใช้งานตลอดเวลา และเพื่อประโยชน์ของเจ้าของร่วม<br />
<br />
2. จัดซื้อ/จัดหาทรัพย์สินตลอดจนจัดให้มีบริการด้านสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ แก่เจ้าของร่วม ในอาคารชุด ภายใต้ระเบียบที่ออกโดยคณะกรรมการอาคารชุด<br />
<br />
3. เรียกเก็บ “เงินกองทุน” และ “ค่าใช้จ่ายส่วนกลาง” จากเจ้าของร่วม เพื่อนำมาใช้เป็นค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาซ่อมแซมระบบสาธารณูปโภคส่วนกลาง รวมทั้งทรัพย์ส่วนกลาง และการให้บริการอื่น ๆ ในอาคารชุด<br />
<br />
4. ดำเนินการตามมติของที่ประชุมใหญ่เจ้าของร่วมหรือตามมติของคณะกรรมการอาคารชุด ทั้งนี้โดยไม่ขัดต่อข้อบังคับของ นิติบุคคลอาคารชุด และพระราชบัญญัติอาคารชุด<br />
<br />
5. ควบคุมดูแลการใช้ประโยชน์ทั้งภายในห้องชุด และการใช้สิทธิ์ในทรัพย์ส่วนกลางของเจ้าของร่วมและผู้อยู่อาศัยให้เป็นไปตาม เจตนารมณ์ของพระราชบัญญัติอาคารชุด ข้อบังคับและระเบียบของนิติบุคคลอาคารชุด ทั้งที่มีอยู่แล้วและที่จะมีในอนาคต<br />
<br />
6. เป็นผู้แทนของนิติบุคคลอาคารชุด ภายในขอบเขตของพระราชบัญญัติอาคารชุด ข้อบังคับของนิติบุคคลอาคารชุด หรือมติที่ประชุมใหญ่เจ้าของร่วม รวมทั้งมีอำนาจในการติดตาม ทวงหนี้ ฟ้องร้อง บังคับคดี เป็นต้น<br />
<br />
7. สามารถมอบอำนาจให้ผู้อื่นกระทำการแทนตนเองได้ ในเรื่องต่าง ๆ ตามข้อ 6. แต่ต้องแจ้งหรือปรึกษาหารือต่อคณะกรรมการอาคารชุดก่อนการดำเนินการ<br />
<br />
8. ในกรณีเร่งด่วน มีอำนาจจัดการในเรื่องความปลอดภัยของอาคาร และมีอำนาจกระทำการใด ๆ ได้ดังเช่นวิญญูชนจะพึงรักษา และจัดการทรัพย์สินของตนเอง<br />
<br />
9. จัดให้มีการประชุมใหญ่ตามที่กำหนดไว้ในข้อบังคับของนิติบุคคลอาคารชุด<br />
<br />
10. กำหนดระเบียบของนิติบุคคลอาคารชุด โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการ โดยไม่ขัดต่อพระราชบัญญัติอาคารชุดและ ข้อบังคับของนิติบุคคลอาคารชุด<br />
<br />
<span style="color: red;"><u><b>อื่นๆที่เกี่ยวข้อง</b></u></span><br />
<br />
<ul>
<li><a href="http://simple-laws.blogspot.com/2014/04/blog-post_1696.html">ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับกฎหมายอาคารชุด</a></li>
<li><a href="http://simple-laws.blogspot.com/2014/04/blog-post_20.html">อำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการนิติบุคคลอาคารชุด</a></li>
<li><a href="http://simple-laws.blogspot.com/2014/04/4-2551.html">สรุปสาระสำคัญของพระราชบัญญัติ อาคารชุด (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551</a></li>
<li><a href="http://simple-laws.blogspot.com/2014/04/blog-post.html">หน้าที่ของ ผู้จัดการนิติบุคคลอาคารชุด </a></li>
<li>บ<a href="http://simple-laws.blogspot.com/2014/04/blog-post_2290.html">ทบาท หน้าที่และอำนาจของ"เจ้าของร่วม"อาคารชุด</a></li>
</ul>
BTC Admin http://www.blogger.com/profile/17552179607270050206noreply@blogger.com0