โดยสรุปจากข้อเท็จจริงที่ว่า อบต. ได้นำงบไปพัฒนาถนนในที่เอกชน และประชาชนใช้สัญจรมาอย่างเปิดเผยต่อเนื่องเกิน 10 ปี (ไม่ใช่ 15 ปี ตามที่ระบุ) โดยเจ้าของเดิมไม่ทักท้วง สิทธิในการปิดพื้นที่ของเจ้าของใหม่นั้นมีโอกาสจะถูกโต้แย้งทางกฎหมายได้สูงมาก โดยพิจารณาจากหลัก ภาระจำยอมโดยอายุความ และความเป็น ทางสาธารณะโดยปริยาย
ประเด็น | คำตอบโดยสรุป |
เจ้าของใหม่ขอใช้สิทธิปิดพื้นที่ทำได้หรือไม่? | ไม่น่าจะทำได้ และมีโอกาส ผิดกฎหมาย (ละเมิดสิทธิของสาธารณะ) เพราะทางดังกล่าวอาจตกเป็นภาระจำยอมโดยอายุความ หรือเป็นทางสาธารณะโดยปริยายแล้ว |
ผิดกฎหมายหรือไม่? | การปิดทางอาจเป็นการ ละเมิดสิทธิ ของประชาชนที่ได้สิทธิโดยภาระจำยอม และอาจขัดต่อการเป็น ทางสาธารณะโดยปริยาย (ซึ่ง อบต. ได้เข้ามาดูแลพัฒนา) |
ประชาชนต้องทำอย่างไร? | รวมตัวกัน และ ร้องเรียน/แจ้งความ ต่อ อบต./เทศบาล เพื่อให้เข้าดำเนินการปกป้องสิทธิ และอาจต้อง ฟ้องร้องต่อศาล เพื่อขอให้ศาลสั่งให้ทางนั้นเป็นภาระจำยอมหรือทางสาธารณะโดยสมบูรณ์ |
เทศบาล (อบต.) ต้องทำอย่างไร? | ตรวจสอบข้อเท็จจริง และ เข้าดำเนินการทางกฎหมาย เพื่อปกป้องประโยชน์สาธารณะ เช่น การฟ้องคดีแพ่งเพื่อยืนยันการได้ภาระจำยอม หรือการดำเนินการเพื่อให้ทางนั้นเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินโดยสมบูรณ์ |
1. การปิดพื้นที่ของเจ้าของใหม่
การที่ อบต. นำงบประมาณของรัฐ (เงินหลวง) ไปพัฒนาถนน และประชาชนใช้สัญจรต่อเนื่องมาอย่างเปิดเผยเกิน 10 ปี โดยเจ้าของเดิมไม่ทักท้วง (แสดงว่าไม่ได้สงวนสิทธิ) ทำให้ทางดังกล่าวน่าจะเข้าเงื่อนไขทางกฎหมายอย่างใดอย่างหนึ่งดังนี้:
การได้ภาระจำยอมโดยอายุความ
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1401 ประกอบ มาตรา 1382 การใช้ทางเดินในที่ดินของผู้อื่นโดยความสงบ เปิดเผย และมีเจตนาให้ได้สิทธิเป็นทางภาระจำยอม ติดต่อกันครบ 10 ปี ย่อมทำให้ได้มาซึ่งสิทธิภาระจำยอม
ผล: ที่ดินนั้นต้องรับภาระในการยอมให้ประชาชนใช้เป็นทางสัญจร เจ้าของใหม่ก็ต้องรับภาระนี้ไปด้วย (เพราะภาระจำยอมเป็นทรัพย์สิทธิที่ติดอยู่กับที่ดิน) การปิดทางจึงเป็นการขัดขวางการใช้สิทธิโดยชอบด้วยกฎหมาย
ในกรณีนี้: การที่ประชาชนใช้ต่อเนื่องมาอย่างเปิดเผย และ อบต. เข้ามาพัฒนาถนนด้วยงบประมาณสาธารณะ ย่อมเป็นหลักฐานสำคัญที่แสดงให้เห็นว่าประชาชนใช้ทางโดยมีเจตนาให้ได้สิทธิ ไม่ใช่แค่ถือวิสาสะ
การอุทิศให้เป็นทางสาธารณะโดยปริยาย
การที่เจ้าของที่ดินปล่อยให้ประชาชนใช้สัญจรอย่างเปิดเผยโดยมิได้หวงห้ามติดต่อกันเป็นเวลานาน ประกอบกับหน่วยงานราชการ (อบต.) ได้เข้ามาปรับปรุงและบำรุงรักษาโดยใช้งบประมาณของรัฐ ถือเป็นการ อุทิศโดยปริยาย ให้ที่ดินส่วนนั้นเป็น สาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ตามมาตรา 1304 (2) แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
ผล: ที่ดินส่วนที่เป็นถนนกลายเป็นทรัพย์สินของแผ่นดิน เจ้าของที่ดินเดิม (รวมถึงเจ้าของใหม่) ย่อมไม่มีกรรมสิทธิ์ในส่วนที่เป็นถนนนั้นอีกต่อไป และไม่สามารถใช้สิทธิหวงห้ามหรือปิดกั้นได้โดยเด็ดขาด
ดังนั้น เจ้าของใหม่ ไม่มีสิทธิ ที่จะปิดกั้นทางนั้นได้ และหากปิดกั้นอาจถูกฟ้องร้องดำเนินคดีฐาน ละเมิด ได้
2. สิ่งที่ประชาชนและ อบต. ควรดำเนินการ
สำหรับประชาชน 🧑🤝🧑
รวมรวมพยานหลักฐาน:
รวบรวมหลักฐานการสัญจรอย่างต่อเนื่องเกิน 10 ปี เช่น ภาพถ่าย/วิดีโอการใช้ทาง, ใบเสร็จ/หลักฐานการจ่ายงบประมาณของ อบต. ในการพัฒนาถนน, คำให้การของพยานบุคคล (ผู้ที่ใช้ทางมานาน)
ร้องเรียนและขอให้ อบต./เทศบาล ดำเนินการ:
ทำหนังสือร้องเรียนหรือแจ้งความเดือดร้อนไปยัง อบต. (ในฐานะหน่วยงานที่รับผิดชอบการดูแลทางสาธารณะในพื้นที่) ให้เข้าดำเนินการแก้ไขปัญหาและปกป้องสิทธิของประชาชน
ฟ้องร้องต่อศาล (หาก อบต. ไม่ดำเนินการ):
สามารถรวมตัวกัน ฟ้องคดีแพ่ง ต่อศาล เพื่อขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้ทางพิพาทนั้นตกเป็น ภาระจำยอมโดยอายุความ หรือเป็น ทางสาธารณะ โดยสมบูรณ์ เพื่อให้มีผลผูกพันทางกฎหมาย และให้เจ้าของใหม่ต้องเปิดทาง
สำหรับเทศบาล (อบต.) 🏛️
ตรวจสอบข้อเท็จจริงและยุติการรบกวนสิทธิ:
ตรวจสอบหลักฐานการใช้ทางสาธารณะ และการใช้งบประมาณพัฒนาถนน หากพบว่าทางนั้นเข้าข่ายเป็นทางสาธารณะโดยปริยายหรือมีภาระจำยอม อบต. ต้องเข้าดำเนินการทันที เพื่อให้เจ้าของใหม่เปิดทาง
ดำเนินการทางกฎหมาย:
ฟ้องคดีแพ่งต่อศาล เพื่อยืนยันว่าทางดังกล่าวได้กลายเป็น สาธารณสมบัติของแผ่นดิน หรือตกเป็น ภาระจำยอม เพื่อประโยชน์แก่สาธารณะแล้ว (เพราะเป็นหน้าที่ของ อบต. ในการดูแลทางสาธารณะในพื้นที่)
พิจารณาเรื่องการเวนคืน:
หากจำเป็นและทางนั้นมีความสำคัญต่อการสัญจรของประชาชนอย่างยิ่ง อบต. อาจพิจารณา เวนคืนที่ดิน ส่วนที่เป็นถนนตามขั้นตอนของกฎหมาย (แต่ต้องใช้งบประมาณ) เพื่อให้ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินนั้นอย่างถูกต้องสมบูรณ์
ข้อควรระวัง: แม้จะใช้เกิน 10 ปี แต่หากเจ้าของเดิมมีการ หวงห้าม หรือ ติดป้ายว่าถนนส่วนบุคคล เป็นระยะ แต่ประชาชนยังใช้ทางอยู่ อาจทำให้การได้มาซึ่งสิทธิโดยภาระจำยอมไม่สมบูรณ์ เพราะถือว่าการใช้ทางนั้นไม่เป็นไปโดย "ความสงบ" หรือ "เปิดเผย" แต่จากข้อเท็จจริงที่ อบต. เข้ามาพัฒนาและเจ้าของเดิมไม่ทักท้วงเลย เป็นหลักฐานที่หนักแน่นในการยืนยันสิทธิของประชาชน.
0 ความคิดเห็น